วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยาคูลท์ เรื่องที่หลายคนยังไม่รู้

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มน้ำสีส้มขวดขาวขุ่นออกมาวางแข่งกับยาคูลท์หลายยี่ห้อ ดิฉันก็เคยซื้อกินเหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกดี กินทีอิ่มไปหลายชั่วโมง หลอดก็ใหญ่กว่า ดูดได้สะใจ หรือจะยกซดก็ไม่เลว แต่จะว่าไปแม้จะพยายามเลียนแบบอย่างไร (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เจ้าอื่นเขาจงใจเลียนแบบหรือแค่บังเอิญ)ยาคูลท์ก็ยังไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

มีข้อน่าสังเกตคือ ยาคูลท์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เนื่องจากแท้จริงแล้ว ยาคูลท์นั้นมิใช่ขนมแต่เป็นนมที่ผ่านการหมักบ่มกับน้ำตาลและน้ำและผสมกับเชื้อแบคทีเรียฝ่ายธรรมะ ที่ชื่อว่า Lactobacillus casei shirota strain ที่เราคุ้น ๆ หูกันอยู่นั่นเอง ดังนั้นถ้ามีไอ้เลคโตบาสิลัสมากไปมันอาจจะแย่งที่อยู่ ทีนี้ละก็บ้านที่มันอาศัยหรือก็คือท้องของเราเองก็จะถูกแลคโตบาสิลัสพันธุ์นักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก

ยาคูลท์ทำงานอย่างไร
หากมองลงไปในพุงกะทิของเราเองจะเห็นว่าลำไส้เล็กนั้น จะบีบขย้ำกดขี่ข่มเหงและแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นสารที่เป็นประโยชน์เพื่อรอการดูดซึม แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีสารที่เป็นโทษหลุดรอดออกมาด้วย เมื่อร่างกายก่อเกิดความสมดุลของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ระบบย่อยอาหารของเราก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เฉลี่ยแล้ว แลคโตบาซิลัสมีมูลค่าตัวละ 0.00000000075 บาท แต่ถ้าสมดุลเสียไป สารพิษและสารอันตราย อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ดังนั้นไอ้เจ้าแลคโตบาสิลัสก็เลยคิดใหม่ทำใหม่กลายเป็นพระเอกม้าขาว (ออกสีนวล ๆ ส้ม ๆ หน่อย)เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการปรับสมดุลของลำไส้ ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของช่องท้องให้สม่ำเสมอ ลดสารที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่ถูกผลิตโดยแบคทีเรียฝ่ายค้าน (ฝ่ายย่อยสลาย)
จุดเริ่มต้น

หากใครคิดว่ายาคูลท์มีแค่เมืองไทยละก็ผิดถนัด เพราะยาคูลท์มีสัญชาติญี่ปุ่นเต็มตัวนับว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกโบริก็น่าจะได้ เพราะเมื่อ 70 กว่าปีก่อนหรือปี คศ.1930 ดร.มิโนรุ ชิโรตะ (คศ.1899-1982) จากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มต้นวิจัยพัฒนายาคูลท์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ว่าในช่วงเวลานั้น ชาวญี่ปุ่นประสบกับปัญหาเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากขาดสารอาหาร การสาธารณะสุขและสภาพเศรษกิจ และในระหว่างปี คศ. 1930-1935 ดร.ชิโรตะสามารถจำแนกแยกแบคทีเรียจากลำไส้คนได้ถึง 300 ชนิด

เป้าหมายหลักคือ จำแนกแบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการเดินทางของมันผ่านช่องท้องและน้ำดี ที่มีฤทธิ์เป็นกรดไปสู่ลำไส้เล็กที่ ๆ มันสามารถทำงานได้ ในระบบย่อยแบคทีเรีย แต่ละชนิดถูกทดสอบความทนทานต่อกรดและน้ำดี และแบคทีเรียตัวที่หนังเหนียวที่สุดก็คือ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิ 10 องศา จุลินทรีย์จะหลับ แล้วช่วงที่เราเอาออกมาดื่ม ณ อุณหภูมิห้อง 37-38 องศา มันจะตื่นก็พร้อมจะทำงานให้ร่างกายเราทันที ถ้าตู้เก็บความเย็นไม่พอ หรือวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง จุลินทรีย์อาจมีปริมาณมากกว่าที่ระบุไว้ข้างขวด เพราะมันเติบโตขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แต่ตัวพ่อตัวแม่จะเริ่มอ่อนแอลง เพราะออกลูกออกหลานจนเหนื่อย ฉะนั้นให้รีบๆ กินซะ แต่ถ้าคุณปล่อยให้ยาคูลท์ตากแดด จุลินทรีย์จะตาย ยังกินได้อยู่นะแต่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว


ยาที่มา: blog.fukduk.tv

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝึกสมาธิ สิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในชีวิตการทำงานนั้น เราจึงจำเป็นต้องสร้างสมาธิในการทำงาน เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการทำงานทุกประเภท

ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาก็ต้องมีสมาธิในการเรียน คนขับแท็กซี่ก็ต้องมีสมาธิในการขับรถ หมอก็ต้องมีสมาธิในการตรวจคนไข้ รวมถึงพวกเราชาวออฟฟิศทั้งหลายก็ต้องใช้สมาธิในการทำงานด้วย เพราะสมาธิจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ใครที่รู้ตัวว่า ไม่ค่อยจะมีสมาธิในการทำงานลองมาฝึกสมาธิไปพร้อมๆ กับผมกันดีกว่า

อย่างแรกลองฝึกขั้นง่ายๆ กันก่อน นั่นคือการอ่านหนังสือครับ
หลายคนคงจะงง เพราะตอนนี้คุณกำลังอ่านอยู่ อ่านหนังสือจะฝึกสมาธิได้อย่างไร การอ่านหนังสือที่ผมแนะนำไม่ใช่การอ่านแบบกวาดสายตาผ่านๆ ไปแบบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เป็นการอ่านที่คุณห้ามละสายตาจากตัวอักษรนั้นๆ เลย  เรียกว่าอ่านแบบพยายามหาว่ามันมีตัวไหนที่เขาเขียนผิดหรือเปล่า ค่อยๆ อ่านครับ ไม่ต้องรีบ แรกๆ ลองตั้งเวลาสัก 5 นาทีก่อน ถ้าคุณทำได้โดยที่คุณไม่ละสายตาไปสนใจสิ่งรอบข้าง ครั้งต่อไปคุณก็เพิ่มเวลาเป็น 10 นาที 15 นาที แล้วคุณจะมีสมาธิกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มากขึ้น
ขั้นต่อมา ลองตั้งใจฟังบ้างครับ เพราะหลายๆ คน บางครั้งเจ้านายสั่งอย่าง แต่เรากลับไปทำอีกอย่าง ของแบบนี้มันต้องมีผิดพลาดกันได้บ้าง แต่คุณควรจะแก้ไขโดยฝึกสมาธิในการรับฟังครับ โดยเริ่มจากการฟังเทปบันทึกเสียงหรือคำสอนต่างๆ ที่ไม่ใช่เพลง เพราะถ้าเป็นเพลงคุณอาจจะเพลิดเพลินกันจนไม่ได้จับใจความสำคัญ ฝึกไปเรื่อยๆ เลยครับ จนคุณแทบจะจำทุกคำพูดในเทปนั้นได้คราวนี้จะได้มีสมาธิในการฟัง
อีกขั้นตอนหนึ่ง ลองลงมือจัดเอกสารต่างๆ ของคุณให้เป็นที่เป็นทาง นับเป็นการฝึกสมาธิให้คุณได้ เพราะขณะที่คุณจัดเอกสารอยู่ คุณก็ต้องนึกว่าเอกสารฉบับนี้เราวางไว้ตรงนี้ ฉบับนั้นเราวางไว้ในตู้ อะไรทำนองนี้ เรียกว่าเป็นการย้ำความจำของเราอีกที แถมพอคราวหน้าเรามาหาเอกสารฉบับนั้นๆ จะได้ไม่ต้องรื้อโต๊ะกันให้วุ่นอีกด้วย
ต่อมาลองจัดลำดับความสำคัญของงานดูว่างานไหนสำคัญที่สุด ถ้าคุณยังนึกไม่ออก ลองนึกดูว่างานชิ้นไหนของคุณทำแล้ว คนอื่นๆ สามารถรับงานต่อจากคุณได้ หรือเป็นงานเร่งจริงๆ ถ้าไม่ได้ภายในชั่วโมงนี้หรือวันนี้ คนอื่นจะได้รับความเดือดร้อน นั้นแหละครับ รีบทำไปก่อนเลย คราวนี้คุณก็ไล่งานอื่นๆ ดูว่าต้องอันไหนต่อ เป็นการทวนตัวเองด้วยว่าวันนี้คุณมีงานอะไรต้องทำบ้าง
ข้อสุดท้ายครับ ทัศนคติกับงานที่คุณทำอยู่ ถ้าใครมีทัศนคติไม่ดีกับงานที่ตัวเองทำอยู่ ต่อให้เทพก็ไม่สามารถที่จะมีสมาธิในการทำงานได้ เพราะคุณจะหาแต่ข้ออ้างมาปฏิเสธงานต่างๆ ที่เข้ามา เพราะฉะนั้นคุณควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพื่อการทำงานที่ราบรื่น
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นตัวคุณเอง ที่ต้องฝึกทั้งสมาธิ ฝึกทั้งการควบคุมอารมณ์ของตนเอง เมื่อจิตใจสงบ มีสมาธิสติในการทำงานก็จะตามมา งานของคุณก็จะผิดพลาดน้อยลง



ผู้เขียน : ดร.สมสิทธิ์ มีแสงนิล

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้
แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย 
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
เรียบเรียงโดย Never-Age.com

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!

อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!
หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...
น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น
แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว จากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที
แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย
เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

ตาลีบันบุกสังหาร เจ้าชายแฮรี่ ทหารสังเวย 2 ศพ

(15 ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ากลุ่มตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน ในจังหวัดเฮลมานด์ ทางภาคใต้ของอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นาวิกโยธินสหรัฐ 2 นาย เสียชีวิต
โฆษกกองกำลังสหรัฐในอัฟกานิสถาน เผยว่า สมาชิกกลุ่มตาลีบันพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนไรเฟิล ระเบิด และเครื่องยิงระเบิด บุกเข้าไปในแคมป์ แบสเชิน เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น. ก่อนจะเกิดการยิงปะทะยืดเยื้อ ทหารอังกฤษสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ช่วงเช้าวันนี้ โดยนาวิกโยธินสหรัฐเสียชีวิต 2 นาย ส่วนกลุ่มผู้บุกรุกเสียชีวิตทั้งหมด แต่จำนวนยังไม่แน่ชัด ระหว่าง 15 - 20 ศพ
แคมป์ แบสเชิน ของอังกฤษ ซึ่งอยู่ติดกับ แคมป์ ลีเธอร์เน็ค ของกองทัพสหรัฐ เป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งถูกกองทัพอังกฤษส่งกลับไปปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถานอีกครั้งเป็นเวลา 4 เดือนเมื่อไม่กี่วันก่อน ในฐานะนักบินประจำฝูงบินเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ แต่การบุกโจมตีของนักรบตาลีบันครั้งนี้ เจ้าชายวัย 28 ชันษาไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุ กลุ่มตาลีบันออกประกาศแสดงความรับผิดชอบการบุกโจมตี โดยนายกอรี ยูเซฟ อาห์มาดี โฆษกกลุ่มตาลีบัน เผยทางโทรศัพท์ต่อสำนักข่าวเอพีในวันนี้ ว่า นักรบตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน เพราะเจ้าชายแฮร์รี่อยู่ในนั้น และว่า ยังมีหน่วยกล้าตายของตาลีบันอีกนับพันคน ที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อพระเจ้า.

10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่สุดในโลก ปี 2012

โดยทั่วไปแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนจะแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูงส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา  The Richest People ได้ระบุถึง 10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่่สุดในโลก ปี 2012 (The Most Expensive Universities in the World 2012) ไว้  ไปดูกันสิว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้าง





1. Sarah Lawrence College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เมื่อปี 2010 มหาวิทยาลัยนี้แพงเป็นอันดับ 2 แต่ปีนี้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ $53,150  ซึ่งรวมค่าประกันภัย แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดและค่าท่องเที่ยว






2. George Washington University
ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี  สหรัฐอเมริกา  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ประมาณ $53,000 ซึ่งรวมค่าหนังสือ ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าห้อง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ  มหาวิทยาลัยนี้ถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใจกว้างที่สุดในแง่ของความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักเรียน โดยค่าเฉลี่ยของความช่วยเหลืออยู่ที่ $22,500






3. Columbia University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์คซิตี้ สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยนี้อาจจะไม่แพงเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ  แต่มาตรฐานการครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง  นักศึกษาจ่ายเงินปีละ $51,886 และได้รับความช่วยเหลือโดยเฉลี่ย $30,000






4. St. John’s College
ตั้งอยู่ที่ซานตาเฟ่ สหรัฐอเมริกา  ค่าใช้จ่ายของนักศึกษาอยูที่ปีละ $49,513 รวมค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่ากิน  มหาวิทยาลัยมีแพคเกจความช่วยเหลือเฉลี่ยที่ $26,000 ต่อปี และนักเรียน 65% มีความสุขกับสิทธิพิเศษนี้






5. Vassar College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับชนชั้นสูงซึ่งมีค่าธรรมเนียมรายปี $49,250  ทางมหาวิทยาลัยระบุว่าไม่จำเป็นต้องรวยถึงจะเรียนได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยมีการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและด้านต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่นักศึกษา






6. Bucknell University
มหาวิทยาลัยนี้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี $48,380 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายของค่ากินค่าห้อง แต่ไม่รวมค่าหนังสือ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายส่วนตัว  นักศึกษา 62% ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินและแพคเกจความช่วยเหลือเป็นจำนวน $25,000






7. Kenyon College
ตั้งอยู่ที่โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา  ถ้าพูดถึงการลงทะเบียนค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมแล้ว มหาวิทยาลัยนี้มีค่าเล่าเรียนประมาณ $46,830 แต่ก็ช่วยเหลือนักเรียนให้ได้มากที่สุดตามความเป็นจริง  70% ของนักศึกษาได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน และ 24% ได้รับทุนการศึกษา






8. Wesleyan University
ตั้งอยู่ที่คอนเนคทิคัต สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $38,900 กับค่าที่พักประมาณ $11,000  มีแผนการชำระเงินให้กับนักเรียนโดยมีระยะเวลาชำระ 10 เดือน กับดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์






9. Carnegie Mellon University
ตั้งอยู่ที่เพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนประจำปีอยู่ที่ $40,000  แผนการชำระเงินของที่นี่ช่วยให้นักศึกษาชำระค่าเล่าเรียนมากกว่าระยะเวลาสิบเดือน กับดอกเบี้ยร้อยละศูนย์






10. Colgate University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $39,545  ต้องเข้าพักในมหาวิทยาลัยในปีแรก จึงต้องจ่ายพิเศษอีก $9,625 สำหรับค่ากินนอนและค่าที่พัก  มหาวิทยาลัยนี้มีการระดมทุนและแพคเกจความช่วยเหลือแก่นักศึกษา



ที่มา :  http://www.therichest.org/most-expensive/universities-in-the-world/

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เหล้าผสมกาแฟกลายเป็นยาวิเศษป้องสมองเสียหายเพราะขาดเลือด

ได้ยาวิเศษสามารถช่วยป้องกันสมองไม่ให้เสียหาย หลังจากเส้นเลือดในสมองตีบได้อย่างมาก เป็นยาที่ทำจากกาแฟผสมกับเหล้า มีฤทธิ์เท่ากับซดกาแฟแก่ๆ ผสมเหล้าเข้าไป 2 ถ้วยซ้อน
 
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเท็กซัส ฮิวส์ตัน เปิดเผยว่า ยาขนานใหม่ที่พบ เป็นส่วนผสมของกาแฟกับเอทานอล อันเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยลดความสูญเสีย ของสมองจากการเป็นอัมพาตเนื่องมาจาก เส้นเลือดสมองตีบลงได้อย่างมาก โดยได้ทดลองใช้รักษาฉีดให้กับคนไข้ อัมพาตทั้งชายหญิงที่อยู่ในวัยอายุเฉลี่ย 71 ปี ไปจำนวน 23 ราย
 
ศาสตราจารย์มาร์ติน บราวน์ กล่าวแจ้งว่า ในการทดลองกับหนู โดยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองของมัน ขาดลงแบบเดียวกับเมื่อเกิดเป็นอัมพาตเนื่อง มาจากเส้นเลือดสมองตีบในคน เมื่อให้ยาภายในเวลาเกิดอาการใน 3 ชม. ปรากฏว่ายาช่วยลดความสูญเสียของสมองของมันได้มากถึง 80% และจะได้ทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อจะได้รู้สรรพคุณของมันในการรักษากับคนมากขึ้น "แต่พบแล้วว่า หากให้กาแฟหรือแอลกอฮอล์โดดๆ อย่างเดียว กลับไม่ได้ผลอย่างใด จะต้องผสมกันจึงจะได้ผล ซึ่งก็จะต้องค้นคว้าหาส่วนผสมที่เหมาะสมต่อไป"
 
เขากล่าวต่อไปว่า ยังอาจไม่ทราบสาเหตุว่ามันมีสรรพคุณรักษาขึ้นอย่างไร แต่ตัวแอลกอฮอล์เองก็มี สรรพคุณทางขยายหลอดเลือดอยู่แล้ว และคาเฟอีนก็มีสรรพคุณช่วยให้อาการของไมเกรนทุเลาลงได้ เพราะมันช่วยให้ เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ มันยังเป็นยาที่ปลอดภัย เพราะก็เห็นกันอยู่ เป็นยาที่เกือบจะทุกคนใช้กันอยู่แล้ว

บัวบก

มารู้จักกับ "บัวบก" สมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณและขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรของความเป็นหนุ่มสาว 
 
บัวบก หลายคนรู้จักดีว่าเป็นสมุนไพรแก้ร้อนใน ช้ำใน แก้กระหายน้ำ แต่บัวบกก็ยังมีอีกหลายมุมนัก วันนี้นำมาเล่าสู่กัน โดยเป็นข้อมูลจากการเสวนาวิชาการเรื่อง “บัวบก สมุนไพรมหัศจรรย์ เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ใครอยากรู้ว่า บัวบก สมุนไพรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ และบางคนก็ปลูกได้ปลูกดีที่สวนหลังบ้าน จะทำอะไรได้อีก ตามมาได้เลย
กระชากวัยด้วยบัวบก
 
ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เภสัชกรเชี่ยวชาญด้านเภสัชกรรมการผลิต โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า มีงานวิจัยระบุว่าบัวบกช่วยบำรุงสมอง ผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งหมอยาไทยนำมาใช้บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงความจำ บำรุงสายตา บำรุงผม บำรุงเอ็น ปัจจุบันครีมบัวบกอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ใช้ในการรักษาแผล ป้องกันการเกิดแผลเป็น บัวบกยังช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิตในระยะแรกได้
 
 
ชนิดของบัวบกที่สรรพคุณดีที่สุด คือ ผักหนอกขม ซึ่งขึ้นตามธรรมชาติ สาวๆ จะต้องชอบเรื่องต่อไปนี้ เพราะผักหนอก หรือบัวบกนี้ ยายหมื่น แม่เฒ่าแห่งเมืองเลย ยืนยันว่าใช้ในการกระชากวัย ทำให้หน้าตาสดใสอย่างวัยรุ่น โดยนำผักหนอกทั้งห้า (ต้น ใบ และราก) มาตากให้แห้ง บดละเอียด ใช้น้ำผึ้งเป็นกระสาย ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าผลมะแว้ง กินเช้าเย็นครั้งละสองเม็ด เพียงอาทิตย์เดียวเห็นผล
 
“ตำราไทย บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย หรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงกำลัง ตำรับที่นิยมจะใช้บัวบกผสมพริกไทยลงไปเพื่อลดความเย็นของบัวบก คือ ใช้บัวบก 2 ส่วน ผสมกับผงพริกไทย 1 ส่วน ละลายน้ำร้อนกินก่อนนอน ครั้งละครึ่งช้อนชา” ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
 
ส่วนการใช้บัวบกในการบำรุง ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ใช้เช่นเดียวกับที่คัมภีร์อายุรเวทอินเดียซึ่งระบุไว้ว่า บัวบกทั้งต้นมีกลิ่นฉุน มีรสขมหวาน ย่อยได้ง่าย มีฤทธิ์เย็น ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ บำรุงเสียง 
ช่วยความจำ ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้อักเสบ 
 
ผิวหนังเป็นด่างขาว โลหิตจาง มีหนองออกจากปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ น้ำดีในร่างกายมากเกินไป ม้ามโต หืด กระหายน้ำ แก้คนเป็นบ้า โรคเกี่ยวกับเลือดและโรคที่มีสมุฏฐานจากเสมหะ อินเดียบางแคว้นกินใบบัวบกกับนมวันละ 1-2 ใบทุกวัน เชื่อว่าจะช่วยจิตใจสดชื่น ความจำดีขึ้น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาทและโลหิต ส่วนการแพทย์จีน ถือว่าบัวบกคือสมุนไพรของความเป็นหนุ่มสาว (Tonic and Rejuvenation)
 

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อนนั้นมีมากมายจริงๆ เลยค่ะ ใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเนี่ยอาจะได้เปรียบจริง ๆ เลยนะ 
 
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน นั้นมีมากมายจริง ๆ เลยค่ะ ใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเนี่ยอาจะได้เปรียบจริง ๆ เลยนะ เพราะคุณรู้หรือไม่ว่าใน สรรพคุณของน้ำมะพร้าวอ่อน นั้นช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้ ฉะนั้นแล้วใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนก็เฮกันได้เลยนะเนี่ยว่าคุณจะไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ก่อนใคร ฉะนั้นเมื่อเรารู้ถึง สรรพคุณของน้ำมะพร้าว ที่มากมายขนาดนี้ก็หันมาดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนกันบ้างนะค่ะ และใน ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน ก็ยังช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณให้แลดูสวยเปล่งปลั่งอีกด้วยนะค่ะ นั้นเรามาดู ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน และ สรรพคุณของน้ำมะพร้าวอ่อน กันเลยค่ะ
 
สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน
 
งานวิจัยชั้นเยี่ยมจาก ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนช่วยชะลอเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เนื่องจากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง 
 
ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย 2 กลุ่ม ที่ตัดรังไข่ออกเพื่อเป็นตัวแทนสตรีวัยทองเพราะเชื่อกันว่า ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและปัจจัยด้านอายุที่ผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย (จึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่า)
 
ผลการวิจัยพบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์ มีอาการของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งผู้วิจัยจะพัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นอาหารเสริมและยาเพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ต่อไป นอกจากนี้ยังพบอีกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นและไม่มีแผลเป็นด้วยซึ่งอาจมีการสกัดน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาสมานแผลและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต

ดอกอัญชัน

ดอกอัญชัน ได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรบ้าน ที่คนนิยม เพราะมีประโยชน์ที่หลากหลาย
ในดอกอัญชัน มีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดขนาดเล็ก
ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมและนัยน์ตามากขึ้น

สารแอนโธไซยานิน พบได้ในผลไม้และดอกไม้ที่มีสีน้ำเงิน  สีแดง หรือสีม่วง
มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ โดยที่พืชจะสร้างสารนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันดอก
หรือผลตัวเองจากอันตรายของแสงแดดและโรคภัย

ดอกสกัดสีมาทำสีประกอบอาหารได้ ดอกมีคุณค่าทางสมุนไพรช่วยปลูกผม บำรุงตา
ลดอาการของโรคทางสายตา แก้ตาฟาง ตาแฉะ ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ

รากใช้ถูฟันแก้ปวดฟันได้


วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เลี้ยงชีพด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่

เกษตรกรคนเก่ง : 'นิคม แพงศรี' เลี้ยงชีพด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่ : โดย ... บุญชู ศรีไตรภพ


          ด้วยยึดทำเกษตรทฤษฎีใหม่บนพื้นที่ 12 ไร่ ด้วยความไม่ประมาท บนพื้นฐานของความพอเพียง ส่งผลให้ "ลุงนิคม แพงศรี" เกษตรกรในวัย 65 บ้านหนองบอน ต.นาโป่ง อ.เมือง จ.เลย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างงดงาม  
          ลุงนิคม เล่าว่า หันทำเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรผสมผสาน ปี 2542 บนพื้นที่ 12 ไร่ หลังประสบความล้มเหลวจากการปลูกข้าว ปลูกดอกดาวเรือง ด้วยเริ่มเลี้ยงปลาที่ต้องลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลาน พบวิกฤติขาดทุน เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ แต่ก็ไม่ท้อถอย กระทั่งมาประสบผลสำเร็จในปี 2544
          "เริ่มจากเลี้ยงปลา 2-3 บ่อ มีทั้งปลาดุก ปลานิล แรกนั้นมีปัญหามาก จึงพยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง สอบถามยังผู้รู้ เกษตรอำเภอ แม้กระทั่งไปดูคนอื่นเขาเลี้ยง เข้าร่วมอบรมที่ทางภาครัฐจัดขึ้น ฯลฯ ซึ่งก็นำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้แก้ปัญหาที่เราประสบ" ลุงนิคม ย้อนให้ฟัง พร้อมยอมรับว่า จากความพยายามครั้งนั้นทำให้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเบาบาง
          ปัจจุบันลุงนิคมเลี้ยงปลาทั้งหมด 17 บ่อ มีปลาดุก ปลานิล ปลาหมอเทศ ปลาทับทิม ซึ่งทุกๆ 4 เดือนปลาเหล่านี้ก็จับขายได้ อย่างปลาหมอเทศขายส่งที่กิโลกรัมละ 70 บาท ขายปลีก 90 บาท ส่วนปลานิลขายส่งกิโลกรัมละ 60 บาท ขายปลีก 80 บาท ส่วนปลาทับทิม ปลาดุก ก็ได้ราคาเช่นกัน เพราะวิธีการเลี้ยงทุกขั้นตอนลุงนิคมการันตีถึงความเป็นมาตรฐาน ทั้งการบำบัดน้ำเสีย วิธีการรักษาสภาพแวดล้อม
          ขณะที่พื้นที่ส่วนหนึ่งลุงนิคมได้เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ มูลเป็ด-ไก่ ก็จะนำมาเป็นอาหารธรรมชาติให้แก่ปลา ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้มาก ส่วนรายได้นั้น ลุงยอมรับว่าสร้างเม็ดเงินให้ครอบครัวได้ถึงเดือนละกว่า 3 หมื่นบาท
          ความสำเร็จของ "ลุงนิคม แพงศรี" ส่งผลให้ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่น จากวิทยาลัยการอาชีพวังสะพุง กรมอาชีวศึกษา ปี 2550, ได้รับเกียรติบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะวิทยากรหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น "การเลี้ยงปลา" ปี 2552 และได้รับรางวัลเกษตรกรคนเก่ง จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จ.เลย ให้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีน ปี 2553


--------------------
(เกษตรกรคนเก่ง : 'นิคม แพงศรี' เลี้ยงชีพด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่ : โดย ... บุญชู ศรีไตรภพ)

ร่วมพลิกฟื้นพื้นที่ป่า'แม่แจ่ม'

ร่วมพลิกฟื้นพื้นที่ป่า'แม่แจ่ม' ลดบุกรุกป่า-วิกฤติหมอกควัน : โดย...วรัทยา ไชยลังกา


           อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ขึ้นชื่อเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 1.6 แสนไร่ เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่แล้วมีเพียง 8 หมื่นไร่ โดยราคาข้าวโพดที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก แต่เนื่องจาก อ.แม่แจ่ม พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นป่าต้นน้ำชั้น 1A เขตป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ พื้นที่เพาะปลูกขณะนี้จึงเป็นการบุกรุกป่า
           ณรงค์ เจริญใจ เกษตรกร อ.แม่แจ่ม กล่าวว่า การปลูกข้าวโพดใน อ.แม่แจ่ม ส่วนใหญ่เป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า และยังมีการขยายเพิ่ม ทั้งนี้ ปกติแล้วหากเปิดหน้าดินใหม่สำหรับปลูกข้าวโพดจะปลูกได้เพียง 4 ปี เนื่องจากเกิดการชะล้างหน้าดินทำให้เกษตรกรต้องขยายพื้นที่เพิ่ม ขณะเดียวกันก็ได้ใช้วิธีเผาในการกำจัดเศษซาก จนส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควัน
          ด้าน อุทิศ สมบัติ ประธานเครือข่ายกลุ่มพัฒนาเมืองแจ่ม อ.แม่แจ่ม กล่าวว่า พื้นที่ อ.แม่แจ่ม 100% เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1A เขตป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ การถือครองที่ดินที่มีโฉนดมีเพียง 20% ส่วนที่เหลือที่ทำเกษตรเป็นการบุกรุกที่ป่า ไม่มีเอกสารสิทธิ โดยพืชที่เพาะปลูกจะเป็นข้าวและข้าวไร่
             พงษ์พีระ ชูชื่น ปลัดอาวุโส อ.แม่แจ่ม กล่าวว่า การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อนำมาทำเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2542 โดยมีบริษัทเอกชนเข้ามาส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกข้าวโพด เพราะเหมาะกับสภาพพื้นที่ที่มีน้ำน้อย และข้าวโพดเองก็ไม่ต้องใช้น้ำในการปลูกมากนัก โดยเฉพาะชาวบ้าน ต.แม่นาจร ต.กองแขก ต.แม่ศึก และ ต.ท่าผา ทั้งนี้ มติครม. ปี 2542 มีมติให้ชาวบ้านใช้ที่ดินดังกล่าวทำกินได้ รอจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า
            สำหรับพื้นที่ทั้งหมดของ อ.แม่แจ่ม มี 3,000 ตร.กม.พื้นที่กว่า 80% ของชาวบ้านเป็นพื้นที่ป่าเชิงเขา ไม่มีเอกสารสิทธิ อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 ได้มีการจัดทำโครงการวัดจับจีพีเอสบุกรุกพื้นที่ป่า โครงการต่อเนื่องของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงใหม่ เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติม โดยโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งหลังจากที่วัดจับจีพีเอสก็พบกว่าการบุกรุกพื้นที่ป่าลดน้อยลงอย่างมาก ปี 2555 พบว่ามีการบุกรุกป่าเพิ่มเติมเพียง 300 ไร่เท่านั้น
            พงษ์พีระ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ จ.เชียงใหม่ ได้ผลักดันให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชชนิดอื่นแทนข้าวโพด ทั้งไม้ผลและยางพารา เป็นการฟื้นคืนผืนป่าและลดปัญหามลพิษหมอกควัน แต่เนื่องจากที่ดินที่ชาวบ้านถือครอบยังไม่มีเอกสารสิทธิจึงเกรงว่าหากปลูกยางไปจะไม่สามารถกรีดยางได้เมื่อครบกำหนดอายุ ดังนั้น จึงผลักดันให้มีการเช่าที่ดินปีละ 20 บาทต่อไร่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวบ้าน ซึ่ง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯเชียงใหม่ รับทราบและเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
            วิจิตร กูลเรือง ประธานสหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม  จำกัด กล่าวว่า ปี 2548 ได้ทดลองปลูกยางพาราบนพื้นที่ 1,000 ไร่ และจากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร พบว่าผลผลิตน้ำยางที่ได้มีคุณภาพดี ดังนั้น สหกรณ์จึงได้สานต่อโครงการดังกล่าว โดยปี 2555 ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกยางขึ้น มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดสนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 273 ราย คิดเป็นพื้นที่ปลูกยาง 2,035 ไร่ โดยจะให้เกษตรกรทดลองปลูกคนละ 5 ไร่ คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 2.4 หมื่นบาท
              โดยสหกรณ์จะกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 16 ล้านบาท เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้แก่สมาชิก และสหกรณ์จะเป็นผู้จัดหากล้ายาง ปุ๋ย รวมถึงยาฆ่าแมลงและยาฆ่าศัตรูพืชให้แก่เกษตรกร สำหรับเงื่อนไขกู้เงินนั้นจะเป็นการกู้ระยะยาว 5 ปีแรกชำระเพียงเงินต้นเท่านั้น และตั้งแต่ปีที่ 6 ขึ้นไปจึงจะชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
             ทั้งนี้ ได้มีการประสานกับเอกชนตัวแทนจำหน่ายกล้ายาง รวงทองการเกษตร และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ให้มาเปิดคลินิกอบรมและให้ความรู้เรื่องการปลูกยางแก่เกษตรกรด้วย
             หากโครงการส่งเสริมการปลูกยาง อ.แม่แจ่ม ประสบผลสำเร็จ นอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทำให้ป่าต้นน้ำชั้น 1A กลับมาเขียวชอุ่มแล้ว ปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาตอซัง และการเตรียมพื้นที่การเกษตรเพาะปลูกข้าวโพดกว่าแสนไร่ก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
.........................................................
(ร่วมพลิกฟื้นพื้นที่ป่า'แม่แจ่ม' ลดบุกรุกป่า-วิกฤติหมอกควัน  : โดย...วรัทยา ไชยลังกา)

'เขื่อนลำปาว'น้ำฮวบส่อวิกฤติแล้ง

เขื่อนลำปาว กาฬสินธุ์ ส่อวิกฤติแล้ง หลังปริมาณน้ำลดฮวบเหลือในอ่างเพียง 23% ของความจุอ่าง ขณะที่พิษณุโลก ฝนตกหนักต่อเนื่องน้ำท่วมขังสูงกว่า 50 ซม. ส่วนชัยภูมิ-นครพนม เตือนระวังน้ำท่วมฉับพลัน


          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 55  จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่าหลายพื้นที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะเขื่อนลำปาว แม้จะมีฝนตกลงมาบ้าง ซึ่งก็มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเพียง 9 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างเพียง 462.2 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณกักเก็บ 1,950 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 23.34% ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรที่อยู่ในเขตระบบชลประทานเขื่อนลำปาว โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีพื้นที่นาข้าวอยู่ท้ายคลองหลายพันไร่ ได้รับน้ำไม่เพียงพอที่จะไปเลี้ยงพืชผลการเกษตร ซึ่งต้องแก้ปัญหาโดยการนำเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งสูบน้ำในคลองธรรมชาติลงสู่ที่นาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นการเบื้องต้น
          ด้านนายพรเทพ เหม็งประมูล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว กล่าวว่า แม้จังหวัดกาฬสินธุ์จะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงหลายพื้นที่ทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลำปาวน้อย จนปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างคิดเป็น 23.34% แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรในอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานมากนัก เนื่องจากทางเขื่อนยังสามารถส่งน้ำเข้าคลองชลประทานเฉลี่ยวันละ 5.77 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรในโครงการฯ 314,300 ไร่ และการทำประมงอีกส่วนหนึ่ง อีกทั้งบางพื้นที่ยังคงมีฝนตกลงมาบ้าง
          ทั้งนี้ทางเขื่อนยังคงรอปริมาณน้ำฝนจากพายุ ซึ่งคาดว่าน่าจะตกลงมา และมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเร็วๆ นี้ แต่เพื่อเป็นการป้องกันได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดสรรน้ำดำเนินการวางแผนจัดสรรน้ำ การส่งน้ำ การระบายน้ำ และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

พิษณุโลก ฝนตกหนักต่อเนื่องน้ำท่วมขังสูงกว่า 50 ซม.

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ช่วงหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา ในเขต อ.เมืองพิษณุโลก มีพายุฝนฟ้าคะนองตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่อง วัดปริมาณน้ำฝนได้ 67.4 มิลลิเมตร ส่งผลให้พื้นที่ต่ำในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกหลายชุมชนประสบภาวะน้ำท่วมขัง ได้แก่ บริเวณวัดจันทร์ตะวันตก ชุมชนพระลือ ในช่วงเช้าประชาชนต้องช่วยกันนำเครื่องสูบน้ำออกจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย มีบ้านเรือนประชาชนถูกน้ำท่วมขังจำนวนกว่า 10 หลังคาเรือน
          นายละมัย นวลจีน ชาวบ้านชุมชนพระลือ กล่าวว่า เมื่อหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ส่งผลให้น้ำท่วมขังบ้านเรือนในชุมชนสูงกว่า 50-70 ซม. ตนเองและครอบครัว ต้องนำสิ่งของและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เก็บมาให้ที่สูง ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่บ้านของตนเป็นพื้นที่ต่ำ อีกทั้งท่อระบายน้ำเล็ก ทำให้การระบายน้ำออกไปช้ามาก ส่งผลให้ต้องนำเครื่องสูบน้ำมาช่วยดึงอีกแรง
          ด้านนางสำเภา จิตมานนท์ อยู่บ้านเลขที่ 30/120 ชุมชนพระลือ อ.เมืองพิษณุโลก กล่าวว่า ฝนตกหนักมาก ทำให้น้ำท่วมขังบ้านของตนเกือบสูงเท่าพื้นบ้าน ตนต้องเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นที่สูงทันที พร้อมทั้งนำเครื่องสูบน้ำสูบระบายออกแต่ก็น้อยมาก เนื่องจากปริมาณน้ำฝนได้ตกหนัก แต่ตนก็ไม่รู้ทำอย่างไร
          ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศระบุว่า ในช่วงวันที่ 27-28 ส.ค. และ 1- 2 ก.ย. ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะในภาคเหนือ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน มีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 29-31 ส.ค. ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศพม่า และลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนอยู่ในเกณฑ์กระจายถึงเกือบทั่วไป
          อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เทมบิง" (TEMBIN) เคลื่อนตัวกลับสู่เกาะไต้หวัน ในช่วงวันที่ 27-28 ส.ค. 2555 ส่วน พายุ "โบลาเวน" (BOLAVEN) มีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางประเทศญี่ปุ่นตอนใต้และคาบสมุทรเกาหลี ในช่วงวันที่ 27-29 ส.ค. 2555 ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เทมบิง" (TEMBIN) เคลื่อนตัวกลับสู่เกาะไต้หวัน ในช่วงวันที่ 27-28 ส.ค. 2555 ส่วน พายุ "โบลาเวน" (BOLAVEN) มีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางประเทศญี่ปุ่นตอนใต้และคาบสมุทรเกาหลี ในช่วงวันที่ 27-29 ส.ค. 2555 ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง

ชัยภูมิ - ฝนตกต่อเนื่องเตือนระวังน้ำท่วมฉับพลัน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายประสบ จงรั้งกลาง หัวหน้าโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จ.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า สถานการณ์ปริมาณน้ำในเขื่อนลำปะทาว ปีนี้ ซึ่งเดิมมีความจุในเขื่อนลำปะทาวตอนบนได้ทั้งหมด กว่า 44 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนตอนล่าง กว่า 16 ล้าน ลบ.ม. แต่ในปัจจุบัน มีน้ำเหลือทั้งหมดไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ในเขื่อนตอนบนเหลือปริมาณน้ำเหลือเพียง 13 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนตอนล่างเหลือเพียง 6 ล้าน ลบ.ม.
          ซึ่งล่าสุดปัจจุบันมีฝนตกลงมาในพื้นที่ต่อเนื่องในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทำให้มีปริมาณน้ำในเขื่อนตอนบนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกือบ 1 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนตอนล่างมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8 ล้าน ลบ.ม. สูงขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้วของความจุ 16 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งถ้ายังคงมีปริมาณฝนตกต่อเนื่องได้ตลอดช่วงนี้ คาดว่าน่าจะช่วยให้สถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลายลงได้บ้าง และยังต้องอาจเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ทุกระยะช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค.ปีนี้ด้วยเช่นกัน
          แต่ก็ต้องยังเสี่ยงต่อการประสบภัยแล้งหนักอยู่ และให้ระวังวิกฤตภัยแล้งในช่วงนี้ไว้ก่อนด้วย ซึ่งถึงแม้จะมีน้ำเพิ่มในเขื่อน แต่ก็ยังมีระดับน้ำที่จะปล่อยน้ำให้ด้านการเกษตรไม่เพียงพออยู่ ในพื้นที่การเกษตรรอยต่อ 2 อ.เมืองชัยภูมิ และ อ.แก้งคร้อ ควรหลีกเลี่ยงการปลูกพืชใช้น้ำมากไปก่อนในช่วงนี้ด้วยอีกทางด้วยเช่นกัน เกษตรและประชาชนในพื้นที่จึงยังจำเป็นต้องคอยติดตามการแจ้งเตือนว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนปีนี้อย่างใกล้ชิดทุกระยะ แลจุดเสี่ยงมีทั้งภัยแล้ง ถ้าฝนไม่ตกต่อเนื่อง และอีกด้านถ้าตกหนักจนอาจถึงจุดเสี่ยงอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้เช่นกันทั้ง 2 ทางในปีนี้

นครพนม - ผวาน้ำโขงหนุนน้ำสงครามทะลักท่วมท่าอุเทน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ชาวบ้านนับ 100 หลังคาเรือน ริมตลิ่งสองฝั่งปากแม่น้ำสองสี ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นปากน้ำ ลำน้ำสงคราม ไหลมาจากอำเภอศรีสงครามลงสู่แม่น้ำโขงที่นี่ และเมื่อกระแสน้ำโขงสูงขึ้นก็หนุนเนื่องเข้าตรงปากน้ำแห่งนี้ ล่าสุดระดับน้ำโขงสูงขึ้นวัดได้ 9.52 ซม. โดยประเด็นที่ชาวบ้านริมตลิ่งเดือดร้อนที่สุดมาตลอดทั้งเดือนคือการทรุดของดินตลิ่งถูกกระแสน้ำกัดเซาะอย่างรุนแรงกว่าทุกปี ซึ่งก่อนหน้านี้บ้านหลายหลังริมน้ำหวิดถล่มลงน้ำจากการทรุดตัวของดินตัวบ้านแตกร้าว โดยทาง อบจ.นครพนม และ อบต.ไชยบุรี พร้อมชาวบ้านช่วยกันทำเขื่อนป้องกันตลิ่งพังแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นจุดบ้านที่บ้านใกล้ถล่มจมน้ำ
          ล่าสุดเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมาเกิดดินถล่มติดตัวบ้าน เดชะบุญเจ้าของบ้านไม่อยู่ น.ส.ธัญญรัตน์ สุภานนท์ วัย 30 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 22 บ้านไชยบุรี หมู่ 7 ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เปิดเผยว่า ตนเป็นพยาบาล อยู่ที่โรงพยาบาลนครพนม บ้านตนปลูกอยู่ริมน้ำ เดิมทีห่างตลิ่งราว 20 เมตร ทุกปีน้ำก็เซาะตลิ่งเข้ามาเรื่อยๆ แต่ปีนี้ดินทรุดมากจนติดเสาบ้านด้านริมน้ำ และเหตุการณ์หวาดเสียวเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ตนเข้าเวรอยู่ รุ่งเช้าเพื่อนโทรมาบอกว่าดินตลิ่งริมบ้านตนทรุด ตนรีบมาดูตกใจมากเพราะบริเวณดินทรุดนั้นเป็นจุดจอดรถทุกวันยุบไปทั้งแถบ               "ถ้าตนมานอนบ้านคืนนั้นรถตนคงตกไปในน้ำด้วย และเบื้องต้นภายในบ้าน ผนังเกิดแตกร้าว ก่อนที่ อบต.และเพื่อนบ้าน จะช่วยกันทำเขื่อนกระสอบทรายปักเสาไม้ป้องกันไว้ก่อน ถ้ารัฐยังไม่มาสร้างเขื่อนถาวร บ้านตนถล่มลงแน่นอน แต่สิ่งที่ตนไม่เข้าใจ ทำไมรัฐมาสร้างเขื่อนในจุดที่ยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่จุดอันตรายต่อชุมชนมากที่สุด กลับไม่เห็นความสำคัญ"
          นายธวัชชัย ศรีหาทอง อายุ 41 ปี ชาวบ้านตาลปากน้ำ หมู่ 2 ต.ไชยบุรี กล่าวว่า บ้านตนจะปลูกริมน้ำอีกฝั่งหนึ่งเดิมทีก็ห่างจากฝั่งกว่า 20 เมตร และเกิดตลิ่งทรุดตัวมาทุกปีแต่ปีนี้ทรุดหนักผิดปกติและทรุดตัวลึกติดหลังบ้านตนเลย ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือจาก อบต.และชาวบ้านช่วยกันทำเขื่อนกระสอบทรายตอกเสาไม้แก้ไขปัญหาไม่ให้ดินทรุดบ้านถล่มจมน้ำ ถ้ารอดปีนี้ ปีหน้าคงหนักกว่านี้ ถ้ายังไม่มีการสร้างเขื่อนที่นี่
          นายปั่น พันบุรี อายุ 63 ปี บ้านไชยบุรี หมู่ 7 กล่าวว่า ตนมีชีวิตผูกพันกับลำน้ำสงครามปากน้ำไชยบุรีตั้งแต่เด็กโตขึ้นก็เป็นชาวประมงหาปลาที่นี่ตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่นี่คือปากน้ำโขงกับลำน้ำสงคราม ในเดือน 6 ปลาจากลำน้ำโขงจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ที่ลุ่มน้ำอำเภอศรีสงครามและในเดือน 11-12 ปลาก็จะว่ายจากลุ่มน้ำอำเภอศรีสงครามลงสู่น้ำโขง จึงทำให้ปากน้ำสองสีไชยบุรีจับปลาได้มาก แต่ก่อนบ้านเรือนชุมชนสองฝั่งเขาจะปลูกริมน้ำห่างจากดินตลิ่ง 30-40 เมตร แต่กระแสน้ำกัดเซาะเข้ามาเรื่อยๆ ปีนี้เท่าที่ตนสังเกตตลิ่งทรุดตัวมากที่สุดก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะปีที่แล้วก็ไม่หนักขนาดนี้     
          ด้านนายอารี ดวงสงค์ ผู้ใหญ่บ้านตาลปากน้ำ หมู่ 2 ต.ไชยบุรี เปิดเผยว่า ทุกปีที่ผ่านมาก็จะมีปัญหาตลิ่งริมน้ำทรุดตัวเรื่อยๆ ตลอดแนวสองฝั่งลำน้ำสร้างโดยตลิ่งที่ทรุดนั้นอันตรายที่สุดคือจุดที่ติดบ้านเรือนประชาชนนอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่าสวนชาวบ้านที่ติดริมน้ำจะเห็นร่องรอยได้ชัดทั้งต้นไม้สวนกล้วยโค่นตามดินถล่มซึ่งตนก็เป็นคนที่นี่ปีนี้ยอมรับว่าตลิ่งทรุดหนักจริงๆ ผิดกว่าปกติมาก ซึ่งตนมองว่าเกิดจากกระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางน้ำป่ามากทำให้น้ำไหลแรงและเกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นตลิ่งพังระสั้นๆ ยาวจุดละ 40-60 เมตร เมื่อน้ำไหลมามันจะกระแทกกับขอบเขื่อนจนเกิดกระแสน้ำวนในที่ดินที่ยังไม่สร้างเขื่อนทำให้ทรุดตัวหนักมากและจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อไปซึ่งการแก้ไขปัญหารัฐต้องสร้างเขื่อนกันตลิ่งพังเป็นแนวยาวตลอด

ชิมอาหารฝรั่งเศสแฝงกลิ่นอายซามูไร

ชิมอาหารฝรั่งเศสแฝงกลิ่นอายซามูไร : คอลัมน์ชวนชิม


               เชื่อว่ายังคงมีนักชิมอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบในข้อที่ว่าแต่ละสัปดาห์ "ซีฟู้ดนำเข้าจากต่างประเทศ" จะเดินทางมาถึงเมืองไทยในเช้าวันศุกร์ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ โรงแรมขนาดกะทัดรัดย่านอโศก "มาดูซิ" และบัตรเครดิต "เคทีซี" ผนึกกำลังกันเอาใจบรรดาขาชิมด้วยการจัดโปรโมรชั่นอาหารคาวหวานกว่า 20 รายการ ในสไตล์ฝรั่งเศสทว่าแฝงกลิ่นอายญี่ปุ่น "บุปเฟ่ต์ดินเนอร์" (A la carte dinner buffet exclusively for KTC) โดยเชฟหนุ่มชาวอาทิตย์อุทัย "ยูยะ โอคุดะ"
               ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงของทุกเย็นวันศุกร์และเสาร์ น้ำย่อยของเหล่านักชิมจะได้ทำหน้าที่ลิ้มรสอาหารที่มาในรูปแบบของบุปเฟ่ต์จะตักจะเติมกี่รอบก็ตามใจชอบ อันประกอบไปด้วยออเดิร์ฟเย็น-ร้อน "เฟรส ทูน่า เชฟ'ส สไตล์" ซุปมะเขือเทศเย็นชื่นใจให้รสชาติเผ็ดนำเล็กๆ "หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบ" โรยด้วยไข่ปลาแซลมอนและราดด้วยซอสมะเขือเทศสด เนื้อหอยเต็มคำกับรสมัน เค็ม หวาน และฉ่ำจากไข่ปลา, "แซลมอนดิปซอส" เนื้อปลาแซลมอนรมควันสไลด์ราดด้วยซอสสูตรของ "ยูยะ" แต่ไม่กลบความเด่นของรสชาติเนื้อปลา "พาร์มาแฮมทานคู่กับผักออร์แกนิก" เค็มๆ มันๆ รับประทานคู่กับสลัดผักระหว่างรอจานหลัก หรือจะ "สลัดสมุนไพรเพื่อสุขภาพ" ยังไม่นับ "หอยนางรมสด" รับประทานคู่กับน้ำจิ้ม 3 รส 3 สไตล์เอาใจครอบคลุมทุกกลุ่มนักกิน ได้แก่ น้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มแจ่ว และน้ำจิ้มต้นตำรับฝรั่งเศสซึ่งมีเรดไวน์คลุกเคล้าให้เข้ากั๊นเข้ากันกับหอมแดงสับพอหยาบ และอื่นๆ อีกมากมาย
              ส่วนจานหลักในรูปแบบ "อันลิมิต" มีให้เลือกอิ่มอร่อยได้ 5 จาน นำทีมโดย "ปลาเก๋าราดด้วยซอสมะกอกดำ" ผ่านการผสมผสานกับแองโชวี่มาอย่างดี เสิร์ฟพร้อมมันบดและผักสด ส่วนนักชิมที่เป็น บีฟเลิฟเวอร์ ก็มี "เนื้อสันวัวออสเตรเลียย่าง" เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมซอสแบล็กทรัฟเฟิลในแบบฉบับเมืองน้ำหอม ทว่าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอารยธรรมตะวันออก นอกจากกนี้ก็ยังมี จานหมูอบ และจานไก่อบ ราดซอสดิฌอนมัสตาร์ด ซึ่งได้จากน้ำสต็อกลูกวัวเคี่ยวก่อนจะปรุงรสด้วยน้ำผึ้งและมัสตาร์ด อันเป็นสูตรเฉพาะของเชฟหนุ่ม ยูยะ เขาล่ะ
                อย่าเพิ่งกังวลใจว่าในราคา 1500++ บาท จะได้เลือกชิมแค่นี้ และยังมีไฮไลท์ให้เลือกอีก 6 จาน ได้แก่ ล็อบสเตอร์เทอมิดอร์  ซี่โครงแกะนิวซีแลนด์ย่างเสิร์ฟพร้อมซอสมิ้นท์, อกเป็ดอบซอสส้ม, เนื้อวากิวย่างซอสไวน์แดง, กุ้งแม่น้ำราดซอสสมุนไพร  กุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่ มันเยิ้มๆ ย่างให้พอดีสุก ราดซอสดิวออยล์ รับประทานคู่กับผักต้มและมันบด คนรักมันกุ้งไม่ควรพลาด สุดท้ายนับว่าเป็นซิกเนเจอร์ของมาดูซิก็ว่าได้สำหรับ ซุปทะเล หรือ ซุปบุยยาเบส ซึ่งเชฟหนุ่มแดนซามูไรเอาใจคนไทย ด้วยการปรับเปลี่ยนสูตรเล็กๆ น้อยๆ จากที่อาหารต้นตำรับขึ้นชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศสให้ลดกลิ่นคาวของสูตรดั้งเดิม ซึ่งจะนำวัตถุดิบจากทะเลทั้งหมดใส่ต้มรวมในหม้อเดียวกัน  ทว่าสำหรับจานที่ว่ามานี้สามารถเลือกอร่อยได้เพียง 1 จานเพียวๆ ประมาณว่า ม้วนเดียวจบเท่านั้น
                 นอกจากนี้ยังขนมหวานที่เชฟการันตีว่าโฮมเมดทุกขั้นตอน อย่าง Creme Brulee เนื้อละเมียด ที่คำแรกจะหวานแหล่ม แล้วค่อยๆ แผ่รสหวาน หอม มันเบาๆ (ยิ่งตักเข้าปากยิ่งคิดถึงสังขยาบ้านเรา), พานนา คอตตา ราดซอสราสเบอร์รี่ ให้รสชาติเปรี้ยวหวานเบาๆ  สดชื่นด้วยผลไม้โรยหน้า, แยมโรลช็อกโกแลต อัดแน่นด้วยครีม...เอาเป็นว่าจะถามหาความอร่อยเพิ่มเติม หรือต้องการสำรองที่นั่งเพื่อความแน่ในโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 0-2651-6400
.................................................
(ชิมอาหารฝรั่งเศสแฝงกลิ่นอายซามูไร : คอลัมน์ชวนชิม )

ปีนภู ดูดอกไม้ ณ เขาทุ่ง

ปีนภู ดูดอกไม้ ณ เขาทุ่ง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์


             ทุ่งหญ้า หน้าฝน บนภูสูง ดูจะเป็นสุดยอดปรารถนาในยามนี้ พร้อมกับแอบหวังเล็กๆ ว่า น่าจะมีทะเลหมอกคลอเคลียหน้าผาในยามเช้า ยามเย็น เลยรีบตกปากรับคำ เมื่อเพื่อนเอ่ยปากชวน บวกกับทริปเที่ยวทุ่งดอกไม้กลางสายฝน บนภูสอยดาวพับไป... "เขาทุ่ง" เลยเป็นทางออกสุดท้ายก่อนล้อหมุนในค่ำคืนวันศุกร์ 

             เขาทุ่ง อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นชะง่อนเขาของเขากำแพง ทิวปลายสุดของเขาใหญ่ ระยะทางขึ้นเขาแม้ไม่สูงชัน เพราะมีระดับความสูงแค่ 890 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่ระยะทางไกลถึง 17 กม.ทีเดียว ก่อนไปได้ข่าวว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเขาใหญ่ (ถ้าวิวเปิด) แต่ขณะเดียวกันก็ได้ข่าวว่า เคยมีคนเดินหลงที่นี่อีกเช่นกัน  
             จากกรุงเทพฯ ออกเดินทางสู่จุดนัดหมายที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หน่วย ขญ.9 แก่งหินเพิง อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เราใช้เส้นทางรังสิต-นครนายก เพราะนัดเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งไว้ย่านนั้น กะว่าไปถึงดึกๆ พักเอาแรงสัก 1 ตื่น ยังไงก็ไม่น่าจะหลงทาง เพราะทางเข้าหน่วยอยู่ติดกับที่ทำการอำเภอนาดี พอเลี้ยวเข้าไปมีป้ายบอกทางตามแยก
            รุ่งเช้า เก็บข้าวของ แยกสัมภาระ แพ็กเป้เสร็จก็พากันออกหามื้อเช้ากันที่ร้านอาหารหน้าอำเภอ ก่อนมุ่งหน้าสู่ หน่วย ขญ.8 (ว่านเหลือง) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้าขึ้นเขา เส้นทางก่อนถึงหน่วยฯ กำลังทำทาง เป็นลูกรังแดงๆ เจอฝนเข้าไปเละเอาเรื่อง ยังดีที่รถกระบะเอาอยู่ จุดขึ้นเป้อยู่เลยปากทางเข้าหน่วย ขญ.8 ไปไม่ไกล แต่ทางแคบลงเรื่อยๆ จนเจ้าของรถที่เพิ่งถอยมาใหม่ป้ายแดงใจแป้ว เพราะทั้งกิ่งไม้และหนามคอยระตลอดทาง จนไปสุดทาง เห็นห้องน้ำปากทางเข้าป่า ยังขำขำ ใครจะมาใช้
             แต่พอขึ้นเป้เดินไปได้แค่ 5 นาทีกว่าๆ ก็ถึงชายน้ำตก แก่งไม่ใหญ่แต่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ และสายน้ำเอื่อยๆ ลดหลั่นสวยงาม ระดับน้ำกำลังพอแช่เล่นสนุกจนอยากจะเล่นน้ำ เลยถึงบางอ้อ ... น่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำกันบ้างหล่ะ เสียดายแค่ว่า เราเพิ่งขึ้นเป้เดินมาได้นิดเดียว เหงื่อยังไม่ทันออก จะแช่ให้ตัวเปียกก็กระไรอยู่ เพราะระยะทางที่ต้องเดินยังอีกไกลนัก
            ก่อนถึงชายน้ำ เจ้าหน้าที่บอกว่า ให้เก็บก้อนหินไปคนละก้อน จะมีจุดที่นำหินไปวางเพื่อแสดงความเคารพสถานที่ เหมือนขอเข้าป่าใช้เส้นทาง
            "อยากยกก้อนนี้จัง แต่ยกไม่ไหวอ่ะ ช่วยหน่อยดิ" ฉันบอกพร้อมกับชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ ฝังอยู่ในดินครึ่งก้อน จนเพื่อนหันมาค้อน 555 สุดท้ายก็หยิบไปได้ก้อนนิดเดียว จนถึงจุดที่วางก้อนหินข้างทาง เห็นกองหินใหญ่จนเพื่อนแซวว่า อีกหน่อยเราคงต้องมาปีนเขาที่นี่แทนแน่ๆ
            เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นความเชื่อ ที่เห็นเยอะ นี่เพราะมีเด็กๆ มาทัศนศึกษา เดินศึกษาธรรมชาติอยู่หลายกลุ่ม นักท่องเที่ยวขึ้นมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงหน้าหนาว เพราะจะเห็นทะเลหมอกตรึมๆ แสงอรุณเบิกฟ้าริมหน้าผาบนยอดเขาจะสวยงาม ส่วนที่มาหน้าฝนคงมีแต่พวกเรากระมัง
             ระยะทางเดินช่วงแรกทางยังชัด ระดับชันยังไม่มาก หากแต่เป้หนักๆ ก็ซวนเซได้ ระหว่างทางนอกจากข้ามธารน้ำตกช่วงแรกแล้ว ไปอีกไม่ไกลยังต้องเลาะข้ามน้ำอีก 2 จุด ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเจอกับทุ่งโล่งช่วงสั้นๆ ข้างๆ กันเห็นสายน้ำไหล ถามไถ่ถึงได้รู้ว่าเป็นต้นน้ำของน้ำตกอโนดาต ยังไม่ทันจะวางเป้พัก ฝนก็โปรยละอองลงมา แต่แค่แป๊บเดียว ก็หยุดไป
             เกือบ 2 ชั่วโมงที่เดินเท้าจนเกือบบ่าย ก็ไปถึงธารน้ำสุดท้าย ก่อนจะตัดขึ้นเขา เลยได้พักกินข้าวเที่ยงกัน บระเจ้า ... เดินมาตั้งไกลเพิ่งได้ระยะทางแค่ 1 ใน 4 เอง  พักกันครู่ใหญ่ ก็ขึ้นเป้ออกเดินต่อ เจ้าหน้าที่บอกว่าตรงทางชันใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง ถึงจะพ้นขึ้นสันเขา ทางชันฉันว่าไม่เท่าไหร่ แต่ที่หนักใจ หนักกำลังเห็นจะเป็นซุ้มไผ่ที่โน้มตัวเข้าหากันจนกดต่ำ ใครจะผ่านก็ต้องมุดต้องคลาน ฉันโชคดีที่เอามาเฉพาะส่วนที่จำเป็นแบบคนขาสั้น เลยก้มน้อยหน่อยแต่เพื่อนฉันทั้งแบกเสบียงหนักๆ แถมต้องก้มต่ำ จนสุดท้ายเป้ฉุดลงไปนอนแอ้งแม้ง กว่าจะฉุดตัวเองขึ้นมาได้ ก็หัวเราะกันจนเหนื่อย
            กว่าจะผ่านช่วงแห่งความทรมานมาได้ ทำให้รู้ซึ้งถึงสัจธรรม ขาขึ้นอาจจะง่ายสำหรับบางคน แต่ส่วนใหญ่แล้วกว่าจะขึ้นได้ก็เหนื่อยสุดๆ เหมือนกัน ผิดกับขาลงที่แทบจะไถลตัวลงมาได้อย่างรวดเร็ว เหมือนกับตอนชีวิตตกอับซะจริงๆ
           ถึงตอนหลัง ฉันเริ่มเหนื่อย เลยเดินไป หยุดถ่ายรูปไป หน้าฝนที่นี่ยังหลากหลายไปด้วยดอกไม้ดิน ทั้งเห็ดหลากชนิด บีโกเนียพันธุ์ต้นเล็กๆ และ ดอกดินที่ชูช่อดอกให้เห็นเป็นระยะ รวมถึง "พิศวง" พืชกินซากต้นจิ๋ว ที่มีให้เห็นในผืนป่าเขาใหญ่
          ฉันเดินเกาะกลุ่มหลัง จะได้ไม่ต้องเร่งมากนัก เดินไป พักไป จนเจอรอยกระทิง เดินตามดูเพลินจนเกือบหลงแยก ดีที่ว่ามีเจ้าหน้าที่เดินปิดท้ายกับกลุ่มเพื่อน เลยรอดตัวไป
          ราว 5 โมงเย็น ฝนเริ่มลงละอองอีกครั้ง แต่ก็โชคดีที่เราโผล่ไปเจอกับทุ่งโล่งๆ กว้างๆ กับหน้าผา  "ไชโย ... เราถึงแล้ว" ฉันทิ้งเป้ลงก่อนที่จะมองหาทำเลที่พักซะอีก เพราะตื่นเต้นกับ กระดุมเงิน และสร้อยสุวรรณา ที่ออกดอกกระจายในท้องทุ่งให้เห็น  มิน่า ...มิน่า ถึงเรียกว่าเขาทุ่ง
           เจ้าหน้าที่บอกฉันว่า ลงไปพักใกล้แหล่งน้ำข้างล่างจะสะดวกกว่า แต่เพื่อนที่ขึ้นมาก่อนไปดูทำเลแล้วลงความเห็นว่า นอนกันริมหน้าผาน่าจะเวิร์กกว่า เพราะบานหินเรียบ มีมุมหลบลมข้างพุ่มไม้ แถมมีต้นไม้ให้ผูกเปลที่หลบเข้ามาด้านในด้วย เอาเป็นว่า ค่ำนี้เราจะตั้งแคมป์ท้าทายลมฝนกันบนหน้าผา นี่ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว หรือช่วงฝนหนักๆ ฉันคงคิดหนัก
            พอรู้แหล่งที่ตั้ง ฉันยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น ขอเดินดู เดินถ่ายรูปดอกไม้ดินเล็กๆ เหลืองๆ ที่เพิ่งเคยเห็นตอนออกดอกเยอะๆ ซะก่อนที่แดดจะหมดและฝนจะลงหนัก ก็ตั้งแต่เดินป่า ท่องเที่ยวธรรมชาติมาตั้งนาน ฉันยังไม่เคยไปถึงทุ่งดอกไม้แห่งสมอปูน ของเขาใหญ่ หรือดงนาทาม แห่งผาชะนะได ที่ขึ้นชื่อทั้งสร้อยสุวรรณาและดุสิตา เลยนี่นา
             จากหน้าผา เดินผ่านทุ่งหญ้าลงไปธารน้ำ ชำระร่างกายซะหน่อย ระหว่างทางอยากจะกรี๊ดดังๆ เพราะทุ่งที่ผ่านมา เจอทั้งดอกหงอนนาค แม้จะไม่มากนัก แต่สร้อยสุวรรณาแน่นกว่าแถวหน้าผาเยอะนัก เสียดายไม่ได้หยิบกล้องถ่ายรูปติดมือไปด้วย เลยได้แต่หมายมาดพรุ่งนี้จะมาเดินเก็บภาพอย่างเดียว ฝนอย่าตกก็แล้วกัน  ... ยามนี้เอาแน่เอานอนกับฝนฟ้าไม่ได้ซะด้วย
             ราตรีนี้ไม่ยาวไกล แต่ก็โชคดีที่ไม่มีฝนมากวนใจ ให้คนนอนกองกลาง หรือที่พวกเราจะเรียกว่านอนปลาทู ให้ต้องนอนแช่น้ำ แต่เช้าๆ ฟ้าก็ไม่ค่อยสดใส เพราะมีเมฆมากกว่าที่ดวงอาทิตย์จะเปล่งแสงขึ้นมาได้ ก็สายโด่ง เราก็เลยตื่นมาจัดการมื้อเช้ากันสายๆ ไม่แพ้กัน
            หลังมื้อเช้า มีเวลาอีกยาว เลยตะเวนเดินเล่นในทุ่งหญ้า ฉันชอบชายป่าด้านริมธารน้ำจัง เหมือนมีป่า 3 ระดับ ทั้งทุ่งหญ้า ดงเฟิร์นต้นและดงไม้ใหญ่ ขณะที่ริมก้อนหินใหญ่ที่ชุ่มน้ำ จะมีดอกไม้เล็กแต่งแต้มสีสัน แต่ไม่วายแอบเห็นขี้ช้างก้อนใหญ่ๆ ดีที่ว่าสภาพไม่ใหม่ให้ใจแป้ว ถ่ายรูปกันจนเกือบเที่ยงถึงได้เก็บข้าวของ โบกมือลาเขาทุ่งก้มหน้าก้มตาแบกเป้เดินทางกลับ ถึงตอนนี้ใจฉันปลิวไปอยู่ที่ธารน้ำตกริมชายป่าซะแล้ว
             ธรรมชาติของป่าหน้าฝน ให้ความชุ่มฉ่ำ แต้มระบายด้วยสีสันของดอกไม้ดิน แต่ขณะเดียวกัน ป่าสวยงามอาจก็เปลี่ยนเป็นโหดร้ายได้ในพริบตา ถ้าฝนถล่มจนเกิดน้ำป่า ... ต้องไม่ประมาท
................................
ติดต่อ ขญ.8 (ว่านเหลือง)  คุณไพรัตน์  08-6071-4957
...............................
(ปีนภู ดูดอกไม้  ณ เขาทุ่ง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์ )

หุ้น'ซัมซุง'ร่วงหลังแพ้คดี'แอปเปิ้ล'

หุ้น'ซัมซุง'ร่วงหลังแพ้คดี'แอปเปิ้ล'

หุ้นของซัมซุง ร่วงกว่า 7% ในการซื้อขายเช้านี้ หลังศาลสหรัฐตัดสินเมื่อวันศุกร์ให้แอปเปิ้ล ชนะคดีที่ฟ้องซัมซุง ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ลอกเลียนแบบไอโฟนและไอแพด และสั่งให้จ่ายค่าเสียหาย 32,000 ล้านบาท  27 ส.ค. 55  หุ้นของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ดิ่งลง 7.5 % ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้เช้านี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในวันเดียวในรอบเกือบ 4 ปีนับตั้งแต่ต.ค.2551 
          ขณะที่แอปเปิ้ล มีแผนจะยื่นขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของซัมซุงที่ลอกเลียนสิทธิบัตรของไอแพดและไอโฟนในสหรัฐ โดยศาลนัดไต่สวนในวันที่ 20 กันยายน ซึ่งหากศาลสั่งห้ามจำหน่าย ก็จะกระทบต่อรายได้ของซัมซุงอย่างแน่นอน และนักวิเคราะห์ประเมินว่า รายได้ของซัมซุงจะหดหายไป 4% ในปีนี้เกี่ยวกับปัญหาลิขสิทธิ์
          คดีของสองยักษ์ใหญ่นี้ถูกจับตามากที่สุด หลังจากทั้งคู่ยื่นฟ้องกันและกันในหลายประเทศ และเพียงไม่ถึง 10 ชั่วโมงก่อนศาลสหรัฐมีคำตัดสิน ศาลในเกาหลีใต้เพิ่งตัดสินว่าทั้งซัมซุงและแอปเปิ้ลต่างละเมิดลิขสิทธิ์ของกันและกัน และสั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายจ่ายค่าเสียหายจำนวนเล็กน้อย และก่อนหน้านั้นศาลอังกฤษก็ตัดสินว่าซัมซุงไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของแอปเปิ้ล 
          แอปเปิลได้ยื่นฟ้องซัมซุงเมื่อเมษายน 2554 เรียกค่าเสียหาย 2,500 ล้านดอลลาร์ และซัมซุง ได้ฟ้องกลับโดยเรียกค่าเสียหายเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ จากนั้นสองบริษัทยื่นฟ้องกล่าวหาอีกฝ่ายว่าลอกนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอีกหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ แต่คดีในสหรัฐสำคัญที่สุด และจะส่งผลถึงการจัดการกับสิทธิบัตรในอนาคต แต่คำตัดสินครั้งนี้ไม่กระทบ สมาร์ทโฟน กาแล็กซี เอส 3 ของซัมซุงที่เพิ่งวางจำหน่ายปลายเดือน พ.ค.และเป็นรุ่นขายดีที่สุดของซัมซุง ที่มียอดขายถึง 10 ล้านเครื่อง


----------
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AFP)

'ทิ้งปืน!! ปลูกป่า' เทคนิคดอนเมือง

'ทิ้งปืน!! ปลูกป่า' เทคนิคดอนเมือง

'ทิ้งปืน!! ปลูกป่า' เทคนิคดอนเมือง...เท่ยกแก๊ง : โดย... ผกามาศ ใจฉลาด

              มีครูบาอาจารย์หลายท่านที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองบ่นหนาหูเชิงน้อยใจว่าเวลาเด็กเทคนิคดอนเมืองส่วนใหญ่ทำเรื่องดีๆ ไปประกวดแข่งขันวิชาการได้รางวัล ไม่เห็นมีสื่อมวลชนสนใจไปทำข่าว แต่พอเด็กส่วนน้อยทำไม่ดีกลับตีข่าวใหญ่โต ทำให้ภาพวิทยาลัยเสียหาย แต่นั่นถือเป็นสัจธรรมชีวิตคนอยู่ร่วมกัน "ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง" อย่างไรก็ตาม ขอให้น้องๆ ทำความดีต่อไป สักวันต้องมีคนเห็นอย่างแน่นอน อย่างวันนี้ไปเห็นมาจะจะ เลยขอจัดเต็มให้น้องๆ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองที่ยอมถอดเสื้อช็อป วางปากกา แท่งเหล็ก สายไฟ ไขควงไปจับต้นไม้ปลูกป่าสีเขียวให้แก่ท้องทะเลไทยกับเครือข่ายคนพิการ ในโครงการปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์การเรียนรู้และอนุรักษ์ป่าชายเลน หาดขลอด อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จัดโดยกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันความภาคภูมิใจ
           ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการปลูกป่าเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ปรีชา กันธิยะ อธิบดี ศน. เล่าว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการพลิกฟื้นระบบสมดุลของธรรมชาติให้กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย
           ในฐานะรุ่นพี่อย่าง น้องฝน หรือน้ำฝน จำปาทอง นักเรียนชั้น ปวส.2 สาขาบัญชี บอกว่า พยายามปรับกิจกรรมและทัศนคติต่างๆ ที่ทำกับรุ่นน้อง จากกิจกรรมที่รุนแรง เช่น ให้ดื่มเหล้า หรือไปตีกัน มาเป็นกิจกรรมสร้างประโยชน์แก่สังคม เช่นการมาปลูกป่าครั้งนี้เป็นสิ่งที่รุ่นพี่อย่างเราชวนน้องๆ มาทำ ซึ่งหลายคนสมัครใจมาทำ เชื่อว่าอนาคตเราจะทำให้รุ่นน้องมาทำประโยชน์ให้แก่สังคมมากขึ้นกว่าไปตีกัน
             น้องเจริญ หรือเจริญ แซ่ย่อง นักเรียนชั้น ปวส.1 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ กล่าวว่า ได้มาทำกิจกรรมปลูกป่าเป็นครั้งแรก รู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ต่อจากนี้ไปเราจะทำให้วิทยาลัยของเรามีชื่อเสียงในด้านดี ไม่ใช่มีแต่เรื่องของการตีกัน พอไปที่ไหนคนก็จะได้ไม่เข้ามาถามอีกว่า วิทยาลัยนี้ที่เขาตีกันใช่ไหม ต่อไปตนจะขึ้นเป็นรุ่นพี่ ก็จะหากิจกรรมดีๆ เหล่านี้มาให้รุ่นน้องได้ทำดีกว่าไปวิ่งไล่ตีกัน มันไม่เกิดประโยชน์แก่ใครแถมยังทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน
           วัชรธร ปภาพัฒน์กุล นักเรียนปวช. 2 ช่างอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ที่ผ่านคนข้างนอกอาจจะมองว่า เด็กเทคนิคดอนเมืองเป็นพวกหัวรุนแรง มีการตีกัน แต่ในสถานการณ์ขณะนี้ ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ซึ่งตนและเพื่อนได้มาร่วมกิจกรรมปลูกป่าเป็นครั้งแรก เชื่อว่าศาสนาจะกล่อมเกลาจิตใจให้ตน หรือเพื่อน ลดความรุนแรงลงได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่เคยไปตีกับใคร ก็ไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้นอีก
            ปัจจุบันวิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองมีนักเรียนอยู่ประมาณ 2,000 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1.กลุ่มเสี่ยง คือนักเรียนที่มีประวัติทำความผิด 200 คน 2.กลุ่มเฝ้าระวังที่พร้อมจะคล้อยตามกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ที่อยู่กลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่ 3 คือนักเรียนปกติ ถือเป็นเด็กส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม หากมีกิจกรรมจัดทำค่ายอบรมคุณธรรมจะคัดเลือกเอาเด็กกลุ่มเสี่ยง 200 คนเข้ารับการอบรมก่อน ส่วนกลุ่มเด็กที่ต้องเฝ้าระวังจะเน้นพาออกไปทำกิจกรรมให้บริการชุมชน เช่น โครงการ 108 อาชีพ โครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน fix it center เป็นต้น
           แม้หลายคนจะมองปัญหาความก้าวร้าวของเด็กอาชีวะ ส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยมของผู้ปกครองที่ อยากให้ลูกเรียนจบปริญญา เลยส่งเสียให้ลูกเรียนในสายสามัญ ส่วนเด็กที่เหลือ ก็ถูกโยนมาที่วิทยาลัยอาชีวะ ทำให้เด็กเกิดปมด้อย และพยายามหาปมเด่นจากการรวมกลุ่มกับรุ่นพี่และรุ่นน้องไปกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำตัวเป็นนักเลง แต่เชื่อมั่นว่าความพยายามของครูบาอาจารย์ หน่วยงานภายใน ภายนอก พ่อแม่ เพื่อนและตัวนักเรียนร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมดีๆ จริงๆ จะนำไปสู่มิติใหม่ของนักเรียนวิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองอย่างแน่นอน
.......................................................
นานาทัศนะ
           เหลือบไปเห็นคณะอาจารย์ ผู้บริหารของวิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองที่กำลังนั่งยิ้ม มองดูลูก      ศิษย์อย่างภาคภูมิใจ อย่าง อาจารย์นวลน้อย สมุทรสกุลเจริญ อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง กล่าวว่า การปลูกป่าชายเลนทำให้เด็กๆ ได้เปลี่ยนอิริยาบถจากเดิมเรียนอยู่ในห้องเรียนมาทำกิจกรรมดีๆ ได้ผ่อนคลายในอารมณ์จากความตึงเครียดในวิทยาลัย อีกทั้งได้ทำประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อประเทศ ได้เห็นคุณค่าในตัวเขาเอง ที่สำคัญได้มาเห็นผู้ด้อยโอกาสที่ยังทำประโยชน์ได้ ตัวเขาไม่ได้พิการก็น่าที่จะสามารถทำประโยชน์ต่อสังคมได้
           "ถ้าเด็กอยู่แต่ในวิทยาลัย ก็เป็นธรรมดาเด็กช่างเห็นแต่เครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นเหล็ก มีแต่ความแข็งกระด้างทุกวัน ตอกย้ำทำให้จิตใจเขาแข็งกระด้างไปด้วย ต่างจากที่ออกมาเห็นธรรมชาติ เห็นป่าบ่อยๆ ผู้คนอื่นๆ ในสังคม มีส่วนทำให้สภาพจิตใจเขาเห็นใจคนอื่นมากขึ้น" อาจารย์นวลน้อย กล่าว
          ขณะที่ คำรณ โพยมรัตน์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เปิดใจว่า กิจกรรมนี้ทำให้ลูกศิษย์รู้จักคำว่า จิตสาธารณะ ให้เกิดขึ้นกับเด็ก แต่โอกาสทำดีไม่มีเลยไปสร้างปมเด่นนอกวิทยาลัย ไปรวมกลุ่มทะเลาะวิวาทกัน ถ้าเรานำเด็กมาทำกิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้เด็กมีจิตสาธารณะ รู้จักการให้ การบริการ รู้จักทำให้สังคมดีขึ้น จะสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเด็กให้ดีมากขึ้น
            "กิจกรรมดีๆ แบบนี้เราไม่ได้เข้าร่วมกันบ่อยๆ แต่จากนี้ไปเราจะนำเด็กเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับสาธารณะมากขึ้น ในระยะแรกจะเชิญทุกคนมาเข้าร่วม จากนั้นจะเวียนไปทุกแผนก แม้จะมีปัญหาเรื่องของเวลา การเรียนการสอนเข้ามา แต่จะพยายามนำเด็กออกมาทำกิจกรรมดีๆ แบบนี้ให้มากขึ้น" คำรณ กล่าว
.........................................................
('ทิ้งปืน!! ปลูกป่า' เทคนิคดอนเมือง...เท่ยกแก๊ง : โดย... ผกามาศ ใจฉลาด )

พายุไอแซคเป็นเฮอร์ริเคนแล้ว

แรง!พายุไอแซคเป็นเฮอร์ริเคนแล้ว

ประชาชนใน 4 รัฐของสหรัฐ เตรียมความพร้อมรับมือพายุไอแซค ที่เพิ่มกำลังแรงเป็นเฮอร์ริเคนแล้ว


          29 ส.ค. 55  พายุไอแซคได้ทวีความแรงลมขึ้นไปเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 1 แล้ว เมื่อวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น ในขณะพัดเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งของสหรัฐ ซึ่งประชาชนใน 4 รัฐ พากันอพยพออกจากบ้านเรือนไปก่อนหน้านี้ ส่วนชาวเมืองนิว ออร์ลีนส์ กำลังรอคอยด้วยความเครียดอยู่หลังคันกั้นน้ำ ที่เพิ่งได้รับการบูรณะให้แข็งแกร่งกว่าเดิม หลังจากได้รับความเสียหายไปเพราะพายุเฮอร์ริเคนแคทริน่า พัดถล่มเมื่อ 7 ปีก่อน





          ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐ ระบุว่า พายุไอแซค ซึ่งพัดด้วยความแรง 128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้เพิ่มความแรงลมในขณะเคลื่อนตัวผ่านกระแสน้ำอุ่น ในน่านน้ำเปิดของอ่าวเม็กซิโก และคาดว่าจะพัดเข้าสู่แผ่นดินบริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐหลุยส์เซียน่า ในช่วงเช้าวันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น
          มีบางรัฐได้เตรียมพร้อมรับมือพายุไว้แล้ว เช่น ฟลอริด้าและอลาบาม่า หลังจากพายุพัดเข้าสู่แผ่นดินทางตะวันตกเฉียงเหนือของอ่าวเม็กซิโก และอิทธิพลของพายุยังทำให้เกิดลมแรงฝนตกหนักและคลื่นสูง สนามบินในเมืองเพนซาโคล่า รัฐฟลอริดา ต้องปิดให้บริการก่อนพายุเข้า เช่นเดียวกับร้านค้าที่ปิดก่อนกำหนดอีกจำนวนมาก
          กระแสลมแรงยังเคลื่อนตัวผ่านลานจอดรถที่ว่างเปล่า ส่วนคลื่นสูงไม่ได้ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งในขณะที่พายุไอแซค กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่รัฐหลุยส์เซียน่า นายโรเบิร์ต เบนท์ลีย์ ผู้ว่าการรัฐอลาบาม่า ได้ยกเลิกคำสั่งอพยพในพื้นที่ต่ำบริเวณชายฝั่ง และพื้นที่ใกล้ชายฝั่งที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม แต่เตือนให้ประชาชนมองหาพื้นที่ปลอดภัยไว้ด้วยเช่นกัน ทำให้เมืองตากอากาศออเรนจ์ บีช ได้เริ่มรับผู้อพยพจากรัฐหลุยส์เซียน่า และมิสซิสซิปปี้
          สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติ ระบุว่า อันตรายอย่างใหญ่หลวงที่จะเกิดในพื้นที่ชายฝั่งรัฐอลาบาม่า คือ คลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร ในคืนวันอังคาร และเช้าวันพุธ และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25 เซ็นติเมตร ซึ่งที่เมืองกัลฟ์ ชอร์ พบว่า ได้เกิดคลื่นสูงและฝนตกหนัก ทางการได้ตั้งความหวังว่า จะเกิดความเสียหายไม่มากนัก เนื่้องจากจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปในช่วงวันแรงงานผู้จัดการร้านอาหารริมชายหาด ระบุว่า คิดว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
          ด้านรัฐอลาบาม่า กำลังรอดูสถานการณ์ว่า พายุไอแซคจะส่งผลกระทบต่อรัฐมิสซิสซิปปี้ และหลุยส์เซียน่าขนาดไหน และมีการเตือนประชาชนไม่ให้ออกนอกบ้านช่วงพายุเข้า ส่วนประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งเมืองกัลฟ์พอร์ต กำลังจับตาระดับน้ำที่กำลังเพิ่มขึ้นและกระแสลมแรงด้วยเช่นกัน


----------
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : EPA)

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความหมายของดาวเทียม

ดาวเทียม  คือ  ห้องทดลองที่นักวิทยาศาสตร์บรรจุอุปกรณ์ต่างๆเอาไว้แล้วส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันแล้วแต่ความมุ่งหมายของแต่ละโครงการ ดาวเทียมอาจมีรูปร่างเป็นทรงกลม รูปกลองหรือหีบก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างเพรียวลมเหมือนยวดยานต่างๆที่เราใช้อยู่บนโลก เพราะในอวกาศไม่มีอากาศที่จะมาปะทะเป็นแรงต้านทาน ขนาดของดาวเทียมบางดวงมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 2-3 นิ้ว หรือ  2-3  ฟุต  แต่บางดวงอาจใหญ่โตจนมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นร้อยๆฟุต  เช่น ดาวเทียมเอกโก (Echo) เป็นต้น ดาวเทียมที่ถูกส่งออกไปสู่อวกาศ อาจมีระยะเวลาในการโคจรรอบโลกเป็นเวลานานมากน้อยต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กีบขนาดและระยะห่างของวงทางโคจร ถ้าเข้ามาใกล้โลกมากๆจะเกิดแรงต้านทานทำให้ความเร็วของดาวเทียมลดลง เมื่อมีความเร็วน้อยกว่าที่กำหนด ดาวเทียมก็จะตกลงสู่โลกและถูกเผาไหม้ในบรรยากาศของโลก โดยทั่วไปดาวเทียมที่มีขนาดใหญ่และมีวงโคจรต่ำจะสลายตัวไปเร็วกว่าดาวเทียมที่มีขนาดเล็กแต่มีวงโคจรสูง เช่น ดาวเทียมแวนการ์ด หมายเลข 1 (Vanguard 1) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 6 นิ้ว โคจรห่างจากโลก 400 ไมล์ ส่งไปเมื่อ พ.. 2501 ซึ่งคาดว่าจะมีอายุได้เป็นร้อยๆปี
หลักการส่งดาวเทียม
                การส่งดาวเทียมออกนอกโลก อาศัยกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มนุษย์ได้ศึกษาจนพบความจริง เช่น กฎของนิวตัน เช่น กฎเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ (Law of motion) และกฎแห่งความโน้มถ่วง (Low of gravitational)
                การที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปได้จะต้องมีความเร็วที่พอเหมาะ คือ ความเร็ว 5 ไมล์ต่อวินาที หรือ 18,000 ไมล์ต่อชั่วโมง วัตถุก็จะเคลื่อนที่เป็นวงกลม และวัตถุจะไม่มีโอกาสตกถึงพื้นดินอีกเลย และจะเคลื่อนที่อยู่ในความสูงประมาณ 200-300 กิโลเมตร หรือ 124-186 ไมล์ จากพื้นผิวโลก ถ้าวัตถุเริ่มเคลื่อนที่มีความเร็วมากกว่า 5 ไมล์ต่อวินาที จะได้วงโคจรแบบวงรีซึ่งใช้สำหรับส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ ถ้าหากมีความเร็วต้นเพิ่มขึ้นถึง 7ไมล์ต่อวินาทีจะได้วงโคจรที่เรียกว่า พาราโบลา ถ้ามีความเร็วมากกว่า 7 ไมล์ต่อวินาที วงโคจรจะเป็นแบบ ไฮเพอร์โบลา ความเร็ว 7 ไมล์ต่อวินาทีที่ทำให้วัตถุหลุดออกไปจากโลก เรียกว่า ความเร็วหลุดพ้น (Escape velocity)
                ดาวเทียมโคจรรอบโลกได้เพราะมีแรง 2 แรงที่สมดุลกันพอดี คือ ในขณะที่ดาวเทียมเคลื่อนที่เป็นทางโค้ง จะมีแรงสู่ศูนย์กลาง (Centripetal force) และ แรงหนีศูนย์กลาง (Centrifugal force) เกิดขึ้น
                1. แรงสู่ศูนย์กลาง เป็นแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นระหว่างโลกกับดาวเทียมตามกฎแห่งความโน้มถ่วงของกฎนิวตัน ที่กล่าวไว้ว่าแรงดึงดูดระหว่างวัตถุที่มีมวลสาร 2 ชิ้นจะเป็นปฏิภาคโดยตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และเป็นปฏิภาคกลับกับกำลังสองของระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสอง
                2. แรงหนีศูนย์กลาง เกิดจากวัตถุเคลื่อนที่เป็นทางโค้งหรือเป็นวงกลม ถ้าหากดาวเทียมโคจรอยู่ห่างจากโลกมากๆความเร็วของดาวเทียมก็จะลดลงด้วย ความเร็วที่ต้องการเพื่อให้ดาวเทียมขึ้นไปโคจรตามระยะห่างที่ต้องการนั้นเรียกว่าความเร็วตามวงทางโคจร (Orbital velocity)
                ดาวเทียมที่โคจรอยู่ห่างจากโลกมากเท่าไรก็จะเสียเวลาในการโคจรรอบโลกมากขึ้น เพราะความเร็วของดาวเทียมลดลง และระยะทางในการโคจรเพิ่มมากขึ้น
ในการนำดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกนั้น มีหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1.จรวดที่ใช้ดันขึ้นจะต้องนำเอาดาวเทียมไปถึงความสูงที่ต้องการ ถ้าจะส่งดาวเทียมให้มีวงทางโคจรเกือบจะเป็นวงกลม จรวดจะต้องนอนราบขนานกับพื้นโลกถ้าจะให้วงทางโคจรเป็นรูปวงรีมากๆ จรวดจะต้องตั้งฉากกับผิวโลก
2. ความเร็วของดาวเทียมในขณะที่ถูกปล่อยออกจากจรวดท่อนสุดท้ายต้องพอเหมาะกับระดับความสูงนั้น ความเร็วของดาวเทียมจะต้องถูกต้องตามที่ต้องการพอดีหากมากหรือน้อยไปเพียง 2-3 ฟุตวิถีโคจรก็จะเปลี่ยนไป

วิถีโคจรแบบต่างๆของดาวเทียม

1. วิถีโคจรแบบวงกลม ใช้ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกในระยะที่ไม่ห่างออกไปมากนัก แต่จะให้วิถีโคจรเป็นรูปวงกลมจริงๆนั้นทำได้ยาก เพราะ โลกไม่ได้เป็นทรงกลมเลยทีเดียว ตรงขั้วเหนือและใต้จะแบนและป่องตรงเส้นศูนย์สูตร
2. วิถีโคจรแบบวงรี ใช้สำหรับส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรในระยะสูง ซึ่งวิถีโคจรนี้นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ โจฮันส์   เคปเลอร์ ได้ค้นพบกฎซึ่งควบคุมการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ เรียกว่า กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์เคปเลอร์ (Kepler’s Laws of Planetary Motion)
การส่งดาวเทียมที่โคจรเป็นรูปวงรีนั้นจะมีตำแหน่งที่ดาวเทียมเข้าใกล้โลกมากที่สุดเรียกว่า เพอริจี (Perigee) และมีตำแหน่งที่ดาวเทียมอยู่ห่างจากโลกมากที่สุดเรียกว่า อะโพจี (Apogee) ทำให้การเคลื่อนที่ตามทางวงโคจรเปลี่ยนแปลงไป
วิถีโคจรแบบวงรีนี้ใช้เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องการเรียนรุ้สิ่งต่างๆที่อยู่ห่างออกไปมากๆ เช่น วิถีโคจรของยานอวกาศเอ๊กซ์ปลอเรอร์ที่ 6 (Explorer VI) ซึ่งถูกส่งขึ้นไปวัดการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ (Radiation) ในอวกาศ มีตำแหน่งเพอริจีห่างจากโลก 156ไมล์ ส่วนตำแหน่งอะโพจี ห่างออกไปจากโลก 26,300 ไมล์ ความเร็วของยานอวกาศขณะที่เข้าใกล้ตำแหน่งเพอริจีคือ 23,031 ไมล์ต่อชั่วโมงแต่เมื่อเข้าใกล้ตำแหน่งอะโพจีความเร็วจะเหลือเพียง 3,126 ไมล์ต่อชั่วโมง
3. วิถีโคจรที่เข้าจังหวะกับโลกหรือวิถีโคจรที่อยู่กับที่ (Synchronus หรือ Stationary Orbit) ซึ่งดาวเทียมจะอยู่ห่างจากโลก 22,300 ไมล์ ดาวเทียมจะต้องใช้เวลา 24ชั่วโมงเพื่อเดินทางรอบโลก ซึ่งเท่ากับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ซึ่งวิถีโคจรแบบนี้ใช้กับดาวเทียมซินคอม (Syncom) ซึ่งเป็นดาวเทียมที่บรรจุเครื่องมือสื่อสาร ในการส่งขึ้นไปจะใช้จรวดเดลต้ายิงดาวเทียมให้อยู่ในวิถีโคจรรูปวงรีก่อน ตำแหน่งเพอริจีอยู่ห่างจากโลก 100 ไมล์ และตำแหน่งอะโพจีอยู่ห่างจากโลก 22,300 ไมล์ ขณะนั้นดาวเทียมมีความเร็วเพียง 3,275 ไมล์ต่อชั่วโมงหลังจากนั้นมอเตอร์เล็กๆซึ่งใช้เชื้อเพลิงแข็งจะเริ่มต้นทำงานเพิ่มความเร็วของดาวเทียมขึ้นเป็น 6,870 ไมล์ต่อชั่วโมง ดาวเทียมซินคอมก็จะมีวิถีโคจรใหม่ตามต้องการ การผลักดันครั้งสุดท้ายเรียกว่าอะโพจีคิค(Apogee Kick)
4. วิถีโคจรข้ามขั้วโลก (Polar Orbit) วิถีโคจรแบบนี้ดาวเทียมจะถูกส่งไปทางทิศเหนือหรือใต้ ทำให้วิถีโคจรของดาวเทียมข้ามทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ซึ่งจะสามารถมองเห็นโลกทั้งโลกได้ภายในเวลา 1 วัน
ดาวเทียมประเภทต่างๆ
            1.ดาวเทียมสื่อสาร ทำหน้าที่ถ่ายทอดข่าวสารรอบโลกระหว่างพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลมากจนเชื่อมโยงถึงกันด้วยสายเคเบิลธรรมดาได้ลำบาก ดาวเทียมสื่อสารทำหน้าที่คล้ายกับหอสูงส่งสัญญาณออกอากาศลงมาจากอวกาศ หรือเป็นสถานีถ่ายทอดอัตโนมัติที่ส่งสัญญาณลงมายังรอยเท้าของตน
                ดาวเทียมสื่อสารส่วนใหญ่จะโคจรในวงโคจรที่อยู่นิ่งเทียบกับโลก ทำให้ดาวเทียมอยู่เหนือจุดคงที่บนโลกเสมอ ดาวเทียมสื่อสารสามารถนำสัญญาณจากเหตุการณ์ทั่วโลกมาสู่ผู้ชมได้สดๆ เช่นภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ เป็นต้น หรืออาจเชื่อมโยงระบบโทรศัพท์ของเทศต่างๆ ได้โดยตรงและประหยัดค่าใช้จ่าย ธุรกิจกิจการเงินส่วนมักจะใช้บริการที่รวดเร็วของดาวเทียมในรูปของการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือส่งภาพของเอกสารดาวเทียมสื่อสารมายังอาจใช้ในการกระจายการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไกล เช่นประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยเกาะมากมาย ติดต่อถึงกันลำบาก แต่ได้ใช้ดาวเทียมปาลาปาในการสอนนักเรียนตามเกาะต่างๆด้วยครูเพียงคนเดียวที่ศูนย์กลางเป็นต้น
โทรศัพท์ทางไกล
                สัญญาณโทรศัพท์ข้ามทวีป จะใช้เวลาหลายวินาทีในการเดินทางผ่านดาวเทียม ซึ่งผู้ใช้โทรศัพท์อาจสังเกตได้ จะแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
                1.เสียงพูดจะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งจะเดินทางไปในสายเคเบิลที่ชุมสายใกล้บ้าน และชุมสายกลาง และไปสุดทางที่สถานีภาคพื้นดิน โดยอาจผ่านสายเคเบิลหรือคลื่นวิทยุ
                2.สถานีภาคพื้นดินทำการประมวลสัญญาณ และยิงเป็นคลื่นวิทยุไปยังดาวเทียม
                3.ดาวเทียมส่งสัญญาณกลับลงมายังสถานีรับภาคพื้นดิน สัญญาณจะเดินทางผ่านชุมสายไปยังโทรศัพท์ปลายทาง โดยตามเส้นทางที่ผ่านไปนั้น สัญญาณจะได้รับการขยายและการประมวลหลายครั้ง

อินเทลแซท
                อินเทลแซทคือองค์การของประเทศกลุ่มหนึ่ง ที่ร่วมกันเป็นเจ้าของดาวเทียมสื่อสารชุดหนึ่งในวงโคจรที่อยู่นิ่งเทียบกับโลก ดาวเทียมชุดนี้จะติดต่อกับสถานีภาคพื้นดินเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิก
                ระบบดาวเทียมสื่อสารอีกระบบหนึ่งคือ ระบบดาวเทียมมอลนิยาของรัสเซีย ซึ่งอยู่ในวงโคจรคลาดศูนย์ยาวรี ดาวเทียมมอลนิยาหลายดวงจะอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะในวงโคจรเดียวกัน เมื่อดาวเทียมดวงหนึ่งโคจรลับขอบฟ้าไป ดาวเทียมอีกดวงหนึ่งจะโคจรขึ้นมาจากขอบฟ้าทิศตรงกันข้ามพอดี ทำให้สื่อสารกันได้ตลอดเวลา จานสายอวกาศภาคพื้นดินของระบบนี้จะต้องหันตามดาวเทียมอย่างอัตโนมัติ

ดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ
                ตามปกติเราจะใช้ดาวเทียมในการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ข้ามประเทศ แล้วจึงส่งออกอากาศโดยเสาอากาศโทรทัศน์บ้านธรรมดาไปตามบ้าน แต่ขณะนี้ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่จะมีดาวเทียมของตนเองเพื่อส่งรายการไปยังสถานีภาคพื้นดินในพื้นที่ที่ห่างไกลภายในประเทศ แล้วจึงส่งสัญญาณต่อไปทางเสาอากาศธรรมดา หรือทางสายเคเบิลไปตามบ้านต่างๆ หรืออาจใช้วิธีส่งรายการโดยตรงจากดาวเทียมไปยังจานรับสัญญาณตามบ้านก็ได้

ดาวเทียมออกอากาศตรง
                จานสายอากาศขนาดเล็กบนตึกหรือในสวน อาจรับสัญญาณจากดาวเทียมสื่อสารได้โดยตรง ถ้าจานนั้นอยู่ภายในรอยเท้าของดาวเทียม จัดเป็นการรับสัญญาณออกอากาศโดยตรงจากดาวเทียม ทำให้ผู้ชมโทรทัศน์ที่มีอุปกรณ์ครบเครื่องสามารถรับโทรทัศน์ได้มากช่องขึ้น ทั้งนี้จานสายอากาศจะต้องหันชี้ไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลก
                ในบางประเทศประชาชนอาจติดตั้งระบบรับสัญญาณจากดาวเทียมได้อย่างอิสระ แต่ในบางประเทศประชาชนจะต้องมีใบอนุญาตถึงจะติดตั้งสถานีภาคพื้นดินได้ อย่างไรก็ตามในอนาคตทุกประเทศคงเปิดเสรีมากขึ้น เพราะว่าระบบดาวเทียมจะแพร่หลายไปทั่วโลกโดยผ่านทางดาวเทียมออกอากาศตรง ที่ส่งสัญญาณด้วยกำลังสูง ทำให้สามารถใช้จานรับสัญญาณขนาดเล็กได้ ในปัจจุบันจะเห็นว่าจานรับสัญญาณดาวเทียมบนหลังคาบ้านต่างๆ เป็นภาพปกติที่เห็นได้ทั่วไปในหลายประเทศ
2. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา (Weather Satellites) เป็นดาวเทียมที่ทำหน้าที่ตรวจความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศเพื่อการพยากรณ์อากาศ เช่น ดาวเทียมGSM-3ของประเทศญี่ปุ่นอยู่สูงจากพื้นโลก 35,800 กิโลเมตรดาวเทียม NOAA-8 และดาวเทียม NOAA-9 ของอเมริกา ซึ่งอยู่สูงจากพื้นโลก 840-960 กิโลเมตร ดาวเทียมแวนการ์ดอหมายเลข 2 ดาวเทียมชุดไทรอส (ไทรอสหมายเลข 1-8)
3. ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ เป็นดาวเทียมที่ใช้เป็นสถานีเคลื่อนที่สำรวจดูพื้นผิวโลกและการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น ดาวเทียมแลนต์แซต ดาวเทียมสปอต ดาวเทียมมอส-1
   4. ดาวเทียมนำร่อง นักเดินเรือได้สังเกตดาวฤกษ์เพื่อหาตำแหน่งและทิศทางของเรือในการนำร่องมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ในปัจจุบันเราใช้ดาวเทียมนำร่องแทนดาวจริง ดาวเทียมจะส่งสัญญาณวิทยุเพื่อบอกค่าตำแหน่งของดาวเทียมนั้น และบอกเวลาที่ถูกต้องลงมาให้แก่เรือ จากนั้นนักเดินเรือจะต้องใช้ข้อมูลจากสัญญาณของดาวเทียมพร้อมกัน 4 ดวง เพื่อนำมาคำนวณหาตำแหน่งของเรือบนโลก ประเทศรัสเซีย สหรัฐ และประเทศในยุโรป กำลังวางโครงการและกำลังทดสอบระบบดาวเทียมนำร่องระบบใหม่ เพื่อปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ดังเช่นตัวอย่างระบบใหม่ระบบหนึ่งดังต่อไปนี้
แนฟสตาร์
                สหรัฐกำลังสร้างและทดสอบระบบจีพีเอส (GPS = Global Positioning System) เพื่อใช้เป็นระบบนำร่องทั่วโลก ระบบนี้ใช้ดาวเทียมแนฟสตาร์ 18 ดวง ซึ่งกระจายอยู่ในวงโคจรรูปวงกลม 6 วง วงละ 3 ดวง วงโคจรทุกวงจะอยู่สูง 20,000 กม. จากพื้นโลก ซึ่งสูงพอที่จะรอดพ้นจากการทำลายของชาติศัตรู ระบบนี้สามารถจะใช้นำทางแก่กองทัพ หรือขีปนาวุธ ให้ไปถึงที่หมายได้ โดยที่ข้าศึกมิอาจส่งสัญญาณรบกวนอย่างเป็นผลได้
                ดาวเทียมแนฟสตาร์ เป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมากประกอบด้วยชิ้นส่วนถึงกว่า 33,000 ชิ้น แนฟสตาร์แต่ละดวงจะมีนาฬิกาอะตอม 4 เรือน ซึ่งมีความผิดพลาดเพียง 1 วินาทีในเวลา 36,000 ปี ดาวเทียมจะส่งสัญญาณแจ้งตำแหน่งของตนและเวลาลงมายังโลกตลอดเวลา ผู้ที่อยู่บนโลกจะต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถรับสัญญาณจากแนฟสตาร์ครั้งละ 4 ดวงพร้อมกัน จึงจะสามารถคำนวณหาตำแหน่งของยานพาหนะได้ ผลการคำนวณจะมีความผิดพลาดเพียง 15 ม. สำหรับเครื่องบิน เราก็อาจคำนวณได้ทั้งตำแหน่งในแนวราบและแนวสูง ส่วนความเร็วของยานพาหนะจะสามารถคำนวณหาได้โดยมีความผิดพลาดเพียง 0.1 ม./วินาที
                5. ดาวเทียมวิทยาศาสตร์ ดาวเทียมวิทยาศาสตร์มีหน้าที่สำรวจโลก หรือระบบสุริยะ หรือสำรวจอวกาศในห้วงลึกมากออกไป ดาวเทียมประเภทนี้เป็นสถานสังเกตการณ์เหนือชั้นบรรยากาศซึ่งเต็มไปด้วยเมฆและฝุ่นที่จะบดบังสังเกตการณ์จากพื้นโลก และทำให้กล้องโทรทรรศน์บนโลกไม่อาจเห็นวัตถุในอวกาศได้ชัดเจน นอกจากนี้ชั้นบรรยากาศยังบดบังแสงจากวัตถุท้องฟ้าทำให้ปรากฏมืดมิดลงจนเห็นได้ยาก ดังนั้นดาวเทียมซึ่งขึ้นไปอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ   จึงสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นและส่งภาพนั้นลงมาให้เราดูได้
                ดาวและกาแลกซี่ส่งรังสีออกมาหลายชนิด โดยเฉพาะเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ เช่น การระเบิดของดาวจะส่งรังสีหลากหลายมาก อย่างไรก็ตาม ชั้นบรรยากาศของโลกจะกั้นรังสีส่วนใหญ่ไม่ให้ตกถึงพื้นดิน รังสีเหล่านี้จึงต้องตรวจจับและวัดโดยเครื่องมือดาวเทียม หรือสถานีอวกาศ

การศึกษาดวงอาทิตย์
                ดวงอาทิตย์คือดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาดวงอาทิตย์จึงอาจล่วงรู้ไปถึงดาวฤกษ์อื่นๆโดยทั่วไปได้ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังได้ศึกษาอิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้มในโลกเช่น การระเบิดของก๊าซหรือที่เรียกว่าก๊าซลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ จะมีผลต่อภูมิอากาศและการสื่อสารทางวิทยุบนโลก ดาวเทียมวิทยาศาสตร์และนักบินบนสถานีอวกาศจึงต้องทำการวัดและบันทึกปรากฏการณ์ทุกชนิดบนดวงอาทิตย์



อวกาศใกล้โลก
                ดาวเทียมในยุคแรกได้เคยวัดอนุภาคฝุ่นนอกโลก เพื่อทดสอบอันตรายที่จะเกิดต่อยานอวกาศหรือมนุษย์ ปรากฏว่าฝุ่นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ในปัจจุบันดาวเทียมหันมาวัดโซนในชั้นบรรยากาศของโลก โอโซนนี้เป็นก๊าซออกซิเจนชนิดหนึ่งมีหน้าที่ป้องกันโลกจากรังสีเหนือม่วงที่มีอันตรายจากดวงอาทิตย์ จากข้อมูลของดาวเทียมแสดงว่าชั้นโอโซนกำลังถูกทำลายด้วยมลพิษของมนุษย์

ลมสุริยะ
                ดวงอาทิตย์พ่นลำอนุภาคออกสู่อวกาศอย่างสม่ำเสมอ อนุภาคเหล่านี้เรียกว่าลมสุริยะ เมื่ออนุภาคเดินทางมาถึงโลกจะถูกสนามแม่เหล็กโลกกักไว้ กลายเป็นแถบรังสีคาดไปรอบโลกเรียกว่าแถบรังสีแวนแอลเลน ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ค้นพบโดยดาวเทียม

กล้องโทรทัศน์อวกาศ
                กล้องโทรทัศน์อวกาศถูกส่งขึ้นไปกับยานขนส่งอวกาศใน พ.ศ. 2533 เมื่อยานขนส่งขึ้นไปได้ระดับแล้วแขนกลได้ยกกล้องออกจากห้องบรรทุกสัมภาระหลังจากนั้นแผงเซลล์แสงอาทิตย์ 2 แผงได้เปิดกางออกโดยอัตโนมัติ กล้องโทรทัศน์อวกาศเป็นดาวเทียมที่โคจรรอบโลกโดยอยู่สูงจากพื้นดิน 500 กม. นักบินอวกาศจากยานขนส่งอวกาศหรือสถานีอวกาศ อาจสามารถซ่อมกล้องนี้ได้กลางอวกาศ การซ่อมครั้งแรกคงจะเป็นการปรับโฟกัสของกระจกเงาให้ชัดเจนขึ้น
                กล้องโทรทรรศน์อวกาศไม่ใช่กล้องที่ใหญ่ที่สุด กล้องที่ใหญ่กว่ามีอยู่บนพื้นโลก แต่กล้องโทร?ศน์อวกาศสามารถเห็นวัตถุได้ไกลถึง 7 เท่าหรือเห็นวัตถุที่มีแสงสว่างน้อยกว่า 50 เท่าของที่เห็นจากกล้องที่ใหญ่ที่สุดบนโลก

การค้นพบในอวกาศ
                สังเกตการณ์จากอวกาศ จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเรียนรู้ถึงวิวัฒนาการของจักรวาล รังสีที่มาถึงดาวเทียมอาจจะผ่านการเดินทางมายาวนานมาก และบางทีก็มาจากเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น การระเบิดของดาวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้วเมื่อจักรวาลยังเยาว์วัยอยู่
                ดาวเทียมได้ตรวจพบรังสีเอกซ์จากอวกาศ ซึ่งอาจมาจากหลุมดำ หลุมดำคือวัตถุที่ส่งแรงดึงดูดออกมาเข้มข้นมาก จนไม่มีอะไรหนีหลุดออกมาได้ แม้กระทั่งแสงสว่างก็หนีออกจากหลุมดำไม่ได้ หลุมดำอาจเกิดจากการยุบตัวของดาวขนาดใหญ่ แล้วต่อมาก๊าซจากดาวที่อยู่ใกล้เคียงก็ไกลวนตกลงไปในหลุม และแผ่รังสีเอกซ์ออกมา
                ดาวเทียมได้ทำการค้นพบที่น่าตื่นเต้นครั้งหนึ่งคือ ได้พบวงแหวนรอบดาวเวก้า ซึ่งอาจเป็นวงแหวนของระบบดาวเคราะห์ แสดงว่าอาจมีดาวเคราะห์ภายนอกระบบสุริยะของเรา
กล้องโทรทัศน์อวกาศทำงานอย่างไร
                กล้องนี้มีหลักการทำงานเหมือนกับกล้องโทรทรรศน์บนโลกดังนี้คือ รังสีจะตกกระทบกระจกเงาปฐมภูมิก่อนเป็นจุดแรก แล้วสะท้อนไปยังกระจกเงาทุติยภูมิที่อยู่ข้างหน้า กระจกทุติยภูมิจะสะท้อนรังสีกลับผ่านรูตรงกลางของกระจกปฐมภูมิ เข้าสู่เครื่องตรวจจับรังสี ซางจะวัดรังสีเหนือม่วงรังสีใต้แดงและแสงสว่าง ข้อมูลที่รวบรวมได้จะส่งต่อมายังคอมพิวเตอร์บนโลก เพื่อทำการประมวลผลแล้วจึงส่งไปยังนักดาราศาสตร์ เพื่อทำการวิเคราะห์ในทาสุด

                6. ดาวเทียมทหาร               ดาวเทียมทั่วไปอาจใช้ประโยชน์ในทางทหารได้ด้วย เช่น ดาวเทียมสื่อสารอาจใช้ในการติดต่อระหว่างกองทัพกับฐานทัพ และใช้ในการรับสัญญาณจากสายลับ หรือจากอุปกรณ์สอดแนมอัตโนมัติที่ตั้งทิ้งไว้ในแดนข้าศึก สัญญาณจากสายลับและอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องเข้ารหัส ซึ่งผู้รับสัญญาณจะถอดรหัสได้ก็ต่อเมื่อมีเครื่องรับชนิดพิเศษที่ทำไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะเท่านั้น นอกจากนี้ทางการทหารยังอาจใช้ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาธรรมดาในการบอกสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับปฏิบัติการ เช่น เสนาธิการจะต้องทราบข้อมูลจากดาวเทียมว่าพื้นที่ไหนจะแจ่มใสปราศจากเมฆ เพื่อจะได้สั่งดาวเทียมจารกรรมให้ไปทำการถ่ายภาพ ณ ที่นั้น
                ดาวเทียมทหารล้วนๆมักจะเป็นความลับของทุกประเทศ และบางทีดาวเทียมพลเรือนก็อาจมีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเสริมเข้าไปเพื่อใช้งานทางทหาร

การถ่ายภาพจารกรรม
 ดาวเทียมสามารถสืบความลับของข้าศึกได้โดยไม่เป็นอันตราย ดาวเทียมบางดวงจะถ่ายภาพด้วยกล้องโทรทัศน์ แล้วส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าลงมา แต่ดาวเทียมบางดวงใช้ฟิล์มในการถ่ายภาพ เพราะจะได้ภาพที่มีรายละเอียดมากกว่า เสร็จแล้วดาวเทียมจะทิ้งฟิล์มลงมาในกล่องกันความร้อน เส้นทางเข้าสู่บรรยากาศของกล่องจะมีการคำนวณไว้อย่างละเอียด จนสามารถส่งเครื่องบินขึ้นไปดักเก็บลงมาได้ ดาวเทียมจารกรรมบางดวงก็อาจติดตั้งเครื่องรับรังสีใต้แดง ซึ่งจะถ่ายภาพและส่งภาพลงมาเป็นสัญญาณดิจิตอล ดาวเทียมจารกรรมที่มีชื่อว่าดาวเทียมบิกเบิร์ดมีกล้องถ่ายภาพที่ทรงอานุภาพมาก ขนาดสามารถเห็นคนบนพื้นดินได้จากความสูงถึง 161 กิโลเมตร ฟิล์มถ่ายภาพของดาวเทียมนี้จะถูกทิ้งลงมาในกล่องดังที่กล่าวแล้ว






ดาวเทียมจารกรรมที่ใช้เรดาร์
                ดาวเทียมเรดาร์สามารถติดตามเป้าที่เคลื่อนที่อยู่เสมอได้ เช่น เรือรบ ดาวเทียมเรดาร์บางชนิดจะต้องใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่ระบบเรดาร์ หลังจากเลิกใช้งานแล้ว ดาวเทียมประเภทนี้จะต้องไม่ให้ตกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เพราะจะเกิดรังสีที่เป็นอันตรายมาก ดังนั้นจะต้องมีจรวดภายในตัว ยิงให้ดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรที่สูงขึ้น ซึ่งดาวเทียมจะโคจรอยู่ได้อีกหลายร้อยปี
                ดาวเทียมจารกรรมอีกแบบหนึ่งจะติดตั้งเครื่องรับวิทยุ เพื่อดักฟังสัญญาณวิทยุและเรดาร์จากข้าศึก ดาวเทียมประเภทนี้มีชื่อว่าเฟร์เรท ซึ่งแปลว่านักสืบ

อาวุธเลเซอร์
                เราอาจใช้ดาวเทียมเป็น เพชฌฆาต ในการทำลายอุปกรณ์ของข้าศึก โดยวิธีการต่างๆ เช่นตัวดาวเทียมอาจพุ่งเข้าใกล้เป้าหมาย แล้วระเบิดตัวเองพร้อมทั้งเป้า หรือดาวเทียมอาจใช้ลำแสงเลเซอร์ทำลายดาวเทียมอื่น หรือขีปนาวุธของข้าศึก ลำแสงเลเซอร์ที่ว่านี้คือลำแสงที่มีพลังงานเข้มข้นมาก นอกจากนี้เรายังอาจทำลายดาวเทียมข้าศึกได้โดยยิงขีปนาวุธจากเครื่องบิน ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่สามารถแสวงหาแหล่งความร้อนในตัวดาวเทียมได้ ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการทดลองเพื่อสร้าง ดาวเทียมมืด ที่ไม่แผ่แสงสว่างหรือความร้อนให้ข้าศึกจับได้เลย

ระบบเตือนภัย
                ดาวเทียมบางดวงทำหน้าที่เตือนภัยล่วงหน้าของอาวุธนิวเคลียร์ โดยใช้อุปกรณ์ตรวจจับรังสีความร้อนที่สามารถจับไอร้อนของขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้ ขณะเดียวกันดาวเทียมก็อาจถ่ายภาพของขีปนาวุธได้ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดของระบบตรวจจับความร้อน ดาวเทียมชนิดนี้สามารถตรวจจับขีปนาวุธได้เกือบจะทันทีที่ขีปนาวุธเริ่มจุดติด นอกจากใช้ดาวเทียมเตือนภัยต่างหากแล้ว ระบบเตือนภัยทั้งระบบยังอาจติดตั้งไปกับดาวเทียมทางทหารดวงอื่น หรือดาวเทียมพลเรือนธรรมดาก็ได้
                 7.ดาวเทียมไทยคม
ดาวเทียมไทยคม 1A และดาวเทียมไทยคม 2
                ดาวเทียมไทยคม 1A และดาวเทียมไทยคม 2 เป็นดาวเทียมรุ่นแรกของโครงการดาวเทียมไทยคม ดาวเทียมทั้ง 2 ดวงเป็นดาวเทียมรุ่น HS-376 ผลิตโดย บริษัท ฮิวจ์ แอร์คราฟท์ ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือบริษัทโบอิ้งในปัจจุบัน พื้นที่การให้บริการย่านความถี่ C-Band ของดาวเทียมไทยคม 1A และดาวเทียมไทยคม 2 ครอบคลุมประเทศไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น และชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน โดยมีความแรงของสัญญาณด้านขาลง (Down Link) ณ ประเทศไทย 36 dBW (เดซิเบลวัตต์) ส่วนพื้นที่การให้บริการในย่านความถี่ Ku-Band ของดาวเทียมไทยคม 1A และดาวเทียมไทยคม 2 ครอบคลุมประเทศไทยและประเทศในแถบอินโดจีน โดยมีความแรงของสัญญาณด้านขาลง (Down Link) 50 dBW (เดซิเบลวัตต์)
ดาวเทียมไทยคม 3
                ดาวเทียมไทยคม 3 เป็นดาวเทียมรุ่น 3 แกน ผลิตโดย บริษัท อัลคาเทล สเปซ ซิสเต็ม ประกอบด้วยย่านความถี่ C-Band จำนวน 25 ทรานสพอนเดอร์ และย่านความถี่ Ku-Band จำนวน 14 ทรานสพอนเดอร์ โดยย่านความถี่ C-Band Global Beam ของไทยคม 3 ครอบคลุมพื้นที่ 4 ทวีป คือเอเชีย, ยุโรป, ออสเตรเลีย และแอฟริกา ส่วนพื้นที่การให้บริการของ Spot Beam ในย่านความถี่เคยู-แบนด์นั้นครอบคลุมประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคอินโดจีน ส่วน Steerable Beam ในย่านความถี่ Ku-Band ของดาวเทียมไทยคม 3 สามารถให้บริการในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในสี่ทวีปได้อีกด้วย
8. ดาวเทียมไทพัฒ
ความเป็นมา
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครได้มีความตั้งใจที่ จะพัฒนาการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยให้สอด คล้องกับการเปลี่ยน แปลงและพัฒนาของเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งใน ราวปลายปีพ.ศ.2538 ภาคธุรกิจมีความ ต้องการวิศวกรใน ทุกสาขาโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง วิศวกรสาขาโทรคมนาคม ที่มี ความรู้ ความเข้าใจเรื่อง การสื่อสาร ผ่านดาวเทียมที่มีการขยายตัวออกไป ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมากรวมทั้งการใช้ ประโยชน์จากดาวเทียม ในด้านอื่นแต่ การผลิตบุคคลากรสาขาเหล่านี้จำเป็นต้อง มีการเรียนการสอนที่ถูกต้องมีห้องปฏิบัติ การให้นักศึกษา ได้ทดลองอย่างจริงจัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร จึงได้ ดำเนินโครงการถ่ายทอด เทคโนโลยี การออกแบบสร้างและทดสอบดาวเทียม ขนาดเล็กจาก The University of Surrey ประเทศอังกฤษ โดยได้เซ็นสัญญา ความ ร่วมมือเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2538
 มหาวิทยาลัยฯ ได้ส่งอาจารย์ของ มหาวิทยาลัยฯ 11 คน และวิศวกร ของบริษัท UCOM 1 คน ไปเริ่มโครงการที่ประเทศ อังกฤษเมื่อเดือน เมษายน 2539 ซึ่งคณะทำงานได้เรียนรู้พื้นฐานการ ออกแบบดาวเทียม การสร้างและการทดสอบดาวเทียมโดยได้ทำการสร้าง ดาวเทียม เพื่อใช้ งานจริงชื่อ TMSAT (Thai Micro-Satellite) เสร็จสิ้น เมื่อเดือน เมษายน 2540 รวมเวลาทั้งสิ้น 1 ปีเต็ม นับเป็นดาว เทียมดวงแรก ที่ออกแบบและสร้างโดยคนไทย อีกทั้งเป็นก้าวแรก ที่ประเทศไทย เข้าสู่กิจการอวกาศอย่างเช่นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ดาวเทียมไทพัฒได้ถูกติดตั้งกับดาวเทียมหลักชื่อ Resure-4 ของรัสเซีย ร่วมกับดาวเทียมขนาดเล็กอีก 4 ดวง จากนั้น ดาวเทียมไทพัฒที่สร้างขึ้น ถูกปล่อยเข้าสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 ด้วยจรวด Zenith-II จากฐานยิงเมือง Baikanur ประเทศ Kazakstan เมื่อเวลา 13.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ดาวเทียม TMSAT ต่อมาได้รับ พระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ พระราชทาน ชื่อว่าดาวเทียม 'ไทพัฒ' เมื่อเดือนตุลาคม 2541

คุณสมบัติ
ดาวเทียมไทพัฒมีขนาด 35 x 35 x 60 ซม3 น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ภาพทางด้านซ้ายเป็นโครงสร้างของดาวเทียม ที่มีแผงโซลาเซลแบบแกเลี่ยม อะเซไนด์ติดอยู่โดยรอบ ภายในมีระบบคอมพิวเตอร์ 4 ชุด ชุดสื่อสารย่านความถี่วิทยุสมัครเล่น 1 ชุด การรักษาเสถียรภาพดาว เทียมให้กล้องถายภาพชี้มายังโลกตลอดเวลาใช้ Gravity gradient boom ที่มีน้ำหนักของ Tip mass 2 กิโลกรัมติดอยู่ที่ปลายยาว 6.28 เมตร Gravity gradient boom นี้ติดอยู่ด้านบนของดาวเทียม นอก จากนี้ยังมี 3-axis wheel และ Magnetorquer

ดาวเทียมไทพัฒโคจรรอบโลกเป็นแบบวงโคจรต่ำ (Low earth orbit) มีความสูงเฉลี่ยจากผิวโลก 815 กิโลเมตร ในแนวที่ผ่านขั้วโลกเหนือและ ใต้ การโคจรแต่ละรอบใช้เวลา 101.2 นาที ทำให้โคจรรอบโลกวันละ 14.2 ครั้ง แต่ละครั้งของการโคจรจะผ่านเส้นแวงที่เลื่อนออกไปประมาณ 25 องศา ทำให้ดาวเทียมไทพัฒมีการโคจรผ่านทุกพื้นที่ในโลก และจะ ผ่านประเทศไทยทุกวันเวลาประมาณ 8.30-12.30 น. 2-3 ครั้ง และเวลา 20.30-00.30 น. 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งมีเวลาให้สถานีภาคพื้นดินติดต่อ กับดาวเทียมประมาณ 17 นาที เส้นประในภาพข้างบนแสดงแนวทางโคจร ของดาวเทียมไทพัฒใน 1 วัน
การสื่อสารกับดาวเทียมไทพัฒเป็นแบบดิจิตอล ในย่านความถี่นัก วิทยุสมัครเล่น ความถี่สัญญาณขาขึ้น 145.25 MHz และความถี่ สัญญาณขาลง 436.25 MHz ซึ่งนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลกที่อยู่ ในรัศมี 3,000 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ดาวเทียมไทพัฒโคจรอยู่ สามารถสื่อสารกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังตัวอย่างในรูปข้างบนเมื่อดาวเทียมอยู่บริเวณประเทศไทยจะ ทำให้ผู้ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกือบทั้งหมดสามา รถติดต่อกับดาวเทียมไทพัฒได้ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ ศึกษาค้นคว้าของประชาชนได้โดยตรง
ภาพถ่ายมุมกว้างภาพแรกจากดาวเทียมไทพัฒบริเวณทะเลแดง ถ่ายเมื่อ 12 สิงหาคม 2540คุณสมบัติของดาวเทียมไทพัฒอีก อย่างหนึ่งคือความสามารถในการถ่ายภาพ ในการใช้ดาวเทียมไท พัฒเพื่อการถ่ายภาพระยะไกลนั้น ดาวเทียมไทพัฒมีกล้องถ่าย ภาพมุมกว้างซึ่งสามารถถ่ายภาพในย่านแสงใกล้อินฟาเรดขนาด 578x576 จุดได้ด้วยการถ่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งแตกต่างจาก ดาวเทียมถ่ายภาพอื่นที่ถ่ายภาพทีละเส้นทำให้ภาพที่ได้จากดาว เทียมไทพัฒไม่ต้องไปผ่านกระบวนการแก้ไขการเอียงของภาพ ดังนั้นที่ความละเอียดของการถ่ายภาพที่เท่ากันแล้ว ภาพจากดาว เทียมไทพัฒจะชัดเจนกว่า ภาพที่ได้จากกล้องมุมกว้างนั้นครอบ คลุมพื้นที่ประมาณ 1156x1152 ตารางกิโลเมตร ภาพที่ได้มี ประโยชน์ในการดูสภาพภูมิอากาศ การเกิดของเมฆและพายุ รวมทั้งการตรวจสอบพื้นที่มุมกว้าง
ดาวเทียมไทพัฒยังมี กล้องถ่ายภาพมุมแคบอีก 3 กล้องเพื่อ ถ่ายภาพในย่านแสงสีแดง (0.61-0.69 nm.) เขียว (0.50-0.59 nm.) และใกล้อินฟาเรด (0.81-0.89 nm.) แต่ละภาพที่ได้มีขนาด 1024x1024 จุด ทำให้ถ่ายภาพได้พื้นที่ประมาณ 90x90 ตารางกิโลเมตร ภาพถ่ายนี้สามารถนำไปใช้ในการสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำ เมือง เป็นต้น เมื่อต้องการที่จะให้ดาวเทียมถ่ายภาพที่ใดในโลกก็กำหนด พิกัดที่ต้องการให้กับดาวเทียม เมื่อดาวเทียมโคจรผ่านไป ก็จะทำการถ่ายภาพแล้วเก็บภาพไว้ในหน่วยความจำของดาว เทียม ซึ่งหน่วยความจำของดาวเทียมมีขนาด 128 เมกะไบต์ (128 ล้านไบต์) ทำให้สามารถเก็บจำนวนภาพได้สูงสุดประมาณ 128 ภาพ เมื่อดาวเทียมโคจรมาในรัศมีที่สถานีภาคพื้นดินซึ่งตั้ง อยู่ที่บริเวณภายในมหาวิทยาลัยฯ สามารถติดต่อได้ก็จะเริ่มการ ส่งข้อมูลภาพลงมา
ภาพที่ถ่ายจากดาวเทียมทั้ง 3 กล้องใน 3 ย่านแสงที่ถูกส่ง ลงมายังสถานีภาคพื้นดินจะถูกนำมารวมกันเป็นภาพ สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย

การดูดาวเทียม
                ดาวเทียมอาจปรากฏให้เห็นได้ในเวลากลางคืน โดยเราไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการดูแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามกล้องสองตาอาจช่วยให้เห็นดาวเทียมได้ดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์จะใช้ตำแหน่งและความเร็วของดาวเทียมที่มองเห็นนี้ ในการศึกษาแรงดึงดูดของโลก ทั้งนี้เพราะว่าทางเดินของดาวเทียมจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดของโลก

ดาวเทียมปรากฏอย่างไร
                ดาวเทียมและสถานีอวกาศจะสะท้อนแสงอาทิตย์เช่นเดียวกับดวงจันทร์ ทำให้เรามองเห็นได้ในเวลากลางคืน ความสว่างของดาวเทียมจะขึ้นกับขนาดของดาวเทียมวัสดุที่เคลือบผิวและระยะไกลของวงโคจรเช่นสถานีอวกาศขนาดใหญ่ที่โคจรอยู่ต่ำ จะเป็นที่เห็นได้ง่ายที่สุด เราจะเห็นว่าสถานีประเภทนี้วิ่งไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วประมาณเท่ากับเครื่องบินที่บินในระดับสูง ดาวเทียมจะปรากฏเหมือนดาวจริงที่วิ่งไปบนท้องฟ้า แต่เมื่อวิ่งเข้าไปในเงาโลก ดาวเทียมนั้นก็จะมองไม่เห็น

วิธีมองหาดาวเทียม
                ให้มองหาดาวเทียมในเวลากลางคืนที่ท้องฟ้าแจ่มใส โดยยืนในบริเวณที่มืดปราศจากแสงรบกวน และปิดแสงไฟฟ้าในบริเวณใกล้เคียงด้วย เวลาที่เหมาะคือเวลาหลังจากดวงอาทิตย์ตกแล้ว 1 ถึง 2 ชั่วโมง เพราะขณะนั้นเงาของโลกยังไม่ขึ้นสูงพอที่จะบดบังดาวเทียมในวงโคจรระดับต่ำได้ คำแนะนำสุดท้ายคือ ให้มองไปในแนวของเส้นศูนย์สูตร ซึ่งจะมีโอกาสเห็นดาวเทียมได้มาก

ข่าวของดาวเทียมที่จะมาปรากฏ
                การมองหาดาวเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นหนังสือพิมพ์ในท้องถิ่นมักจะตีพิมพ์ตำแหน่งของดาวเทียมที่จะเป็นได้ในอาณาบริเวณ 100 กม. จากเมืองที่บอกไว้ในคำตีพิมพ์นั้นสมาคมทางดาราศาสตร์ก็อาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ตำแหน่งของดาวเทียมได้




การถ่ายภาพดาวเทียม
                ท่านอาจถ่ายภาพดาวเทียมได้ตามขั้นตอนรายละเอียดข้างล่างนี้ โดยท่านจะต้องหันกล้องไปในทิศทางที่ท่านทราบว่าดาวเทียมจะปรากฏ
1. ตั้งขากล้องให้อยู่นิ่งบนสามขาหรือพื้นที่มั่นคง
2. ตั้งหน้ากล้องที่ B ซึ่งจะทำให้หน้ากล้องเปิดอยู่ตลอดเวลา
3. หันกล้องไปในทิศที่เห็นดาวเทียมและเดหน้ากล้องไว้นานประมาณ 5 นาที

ดาวเทียมลุกไหม้
                ดาวเทียมจะลุกไหม้สว่างมาก เมื่อตกลงมาในชั้นบรรยากาศ โดยเฉลี่ยจะมีดาวเทียมลุกไหม้ประมาณสัปดาห์ละ 2 ดวง แต่การลุกไหม้อาจเกิดในตอนกลางวัน ซึ่งมองไม่เห็น อย่างไรก็ตามเราไม่อาจทราบล่วงหน้าได้ว่าจะมีดาวเทียมลุกไหม้ที่ไหนและเมื่อไรบ้าง

การสร้างดาวเทียม
                ดาวเทียมทุกดวงได้รับการสร้างให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง คลอดชั่วอายุการทำงานของดาวเทียมนั้น ซึ่งอาจจะนานถึง 10 ปี แต่ดาวเทียมกาจเสียได้บ่อยๆ เช่น ดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรต่ำบางดวง ซึ่งจะต้องได้รับการซ่อมแซมจากนักบินในยานขนส่งอวกาศ ชิ้นส่วนทุกชิ้นของดาวเทียมจะต้องสร้างให้ทนทานต่อความเร่ง และการสั่นสะเทือนในขณะที่ส่งขึ้นไป และเมื่อเข้าสู่วงโคจรแล้ว ชิ้นส่วนบางชิ้นก็จะต้องได้รับการปกป้องอย่างดีจากการชนโดยเศษวัสดุในอวกาศและจากรังสีของดวงอาทิตย์
                ผู้ออกแบบดาวเทียมจำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาต่างๆข้างต้น และจะต้องทำให้ชิ้นส่วนทุกชิ้นต่อกันจนเป็นดาวเทียมที่มีน้ำหนักและขนาดพอเหมาะ มีสมดุลพอดี ชี้หันไปในทางที่ถูก และมีการรักษาอุณหภูมิอย่างถูกต้อง
                รูปร่างและน้ำหนัก 
                                ดาวเทียมต้องมีน้ำหนักเบารวมทั้งเชื้อเพลิงในดาวเทียมก็ต้องเบา ยานที่จะนำดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรจึงจะทำงานได้สะดวก ดาวเทียมยังต้องสามารถพับได้ เพื่อให้ใส่เข้าไปพอดีในปลายจรวด หรือในห้องบรรทุกสัมภาระของยานขนส่งอวกาศ
วัสดุสำหรับก่อสร้างดาวทียม
               วัสดุที่ใช้สร้างดาวเทียมจะต้องเบา แต่มีความแข็งแรงพอที่จะทนต่อความเร่งในขณะที่ส่งขึ้นได้  วัสดุที่ใช้ในดาวเทียมจึงมักจะทำด้วยเส้นใยคาร์บอนและอะลูมิเนียมซึ่งอะลูมิเนียมจะต้องประกอบแบบเสริมกำลังเป็นพิเศษโดยทำเป็นแผ่นโครงสร้างรังผึ้ง แผ่นรังผึ้งนี้จะใช้เป็นโครงสร้างของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ไทเทเนียมก็เป็นวัสดุอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในดาวเทียม เพราเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงมากถึงแม้จะอยู่ในที่ซึ่งร้อนจัด ไทเทเนียมมักใช้เป็นหมุดย้ำที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก
                อุณหภูมิ
                                ดาวเทียมด้านที่รับแสงแดดจะร้อนมาก แต่ก้านที่อยู่ในเงาจะเย็นมาก ดังนั้นเราต้องติดตั้งฉนวนกันความร้อนรั่วไหลในด้านเย็น และติดตั้งกระจกเงาสะท้อนแสงในด้านร้อนอุปกรณ์บางชิ้น เช่น แบตเตอรี่ จะร้อนมากขณะใช้งาน ดังนั้นต้องมีการออกแบบให้อุปกรณ์เหล่านี้มีการระบายความร้อนออกสู่อวกาศ วิธีหนึ่งที่จะควบคุมอุณหภูมิคือ การแต่งผิวของอุปกรณ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทาสี ทาวัสดุเคลือบผิว ขัดผิวให้มัน แต่งผิวให้หยาบ หรือใช้โลหะเป็นผิวเช่น ใช้แผ่นทองคำ หรืออาจแต่งผิวของอุปกรณ์เดียวด้วยหลายๆวิธีผสมกัน เพราว่าสีวัสดุเคลือบผิวและอื่นๆดังกล่าว จะดูดกลืนและแผ่ความร้อนออกมาไม่เท่ากันการแต่งผิที่เหมาะสมจะสามารถควบคุมอุณหภูมิได้
                การทดสอบ
                                ชิ้นส่วนของดาวเทียมทุกชิ้นต้องได้รับการทดสอบในสภาพจำลอง เหมือนอยู่ในอวกาศจริงทั้งก่อนและหลังการติดตั้งกับดาวเทียม ชิ้นส่วนต่างๆจะทดสอบในสุญญากาศ ให้ถูกรังสี ถูกความร้อน ถูกแรงสั่น ถูกความเร่งและถูกแรงกระแทก ส่วนดาวเทียมทั้งดวงจะต้องประกอบในห้องสะอาดที่มีการกรองอากาศ และช่างเทคนิคต้องแต่งชุดอนามัย เช่น เดียวกับแพทย์ที่ทำการผ่าตัดในรงพยาบาล ทั้งนี้เพราะว่าเราจะต้องป้องกันฝุ่น เนื่องจากฝุ่นแม้เพียงเม็ดเดียว เมื่อหลงเข้าไปติดในอุปกรณ์ใดแล้ว ก็อาจยุติการทำงานของอุปกรณ์นั้นได้
                                อุปกรณ์บางชิ้นสำคัญจะต้องทำเผื่อไว้เป็นสองชิ้น เมื่ออุปกรณ์หนึ่งเสีย อุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งจะต้องรับงานต่อไปได้อย่างอัตโนมัติ  อนึ่งในการสร้างดาวเทียมทุกขั้นตอน เราจะต้องทำการคำนวณและวาดภาพออกแบบต่างๆโดยใช้คอมพิวเตอร์