วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยาคูลท์ เรื่องที่หลายคนยังไม่รู้

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มน้ำสีส้มขวดขาวขุ่นออกมาวางแข่งกับยาคูลท์หลายยี่ห้อ ดิฉันก็เคยซื้อกินเหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกดี กินทีอิ่มไปหลายชั่วโมง หลอดก็ใหญ่กว่า ดูดได้สะใจ หรือจะยกซดก็ไม่เลว แต่จะว่าไปแม้จะพยายามเลียนแบบอย่างไร (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เจ้าอื่นเขาจงใจเลียนแบบหรือแค่บังเอิญ)ยาคูลท์ก็ยังไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

มีข้อน่าสังเกตคือ ยาคูลท์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เนื่องจากแท้จริงแล้ว ยาคูลท์นั้นมิใช่ขนมแต่เป็นนมที่ผ่านการหมักบ่มกับน้ำตาลและน้ำและผสมกับเชื้อแบคทีเรียฝ่ายธรรมะ ที่ชื่อว่า Lactobacillus casei shirota strain ที่เราคุ้น ๆ หูกันอยู่นั่นเอง ดังนั้นถ้ามีไอ้เลคโตบาสิลัสมากไปมันอาจจะแย่งที่อยู่ ทีนี้ละก็บ้านที่มันอาศัยหรือก็คือท้องของเราเองก็จะถูกแลคโตบาสิลัสพันธุ์นักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก

ยาคูลท์ทำงานอย่างไร
หากมองลงไปในพุงกะทิของเราเองจะเห็นว่าลำไส้เล็กนั้น จะบีบขย้ำกดขี่ข่มเหงและแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นสารที่เป็นประโยชน์เพื่อรอการดูดซึม แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีสารที่เป็นโทษหลุดรอดออกมาด้วย เมื่อร่างกายก่อเกิดความสมดุลของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ระบบย่อยอาหารของเราก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เฉลี่ยแล้ว แลคโตบาซิลัสมีมูลค่าตัวละ 0.00000000075 บาท แต่ถ้าสมดุลเสียไป สารพิษและสารอันตราย อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ดังนั้นไอ้เจ้าแลคโตบาสิลัสก็เลยคิดใหม่ทำใหม่กลายเป็นพระเอกม้าขาว (ออกสีนวล ๆ ส้ม ๆ หน่อย)เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการปรับสมดุลของลำไส้ ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของช่องท้องให้สม่ำเสมอ ลดสารที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่ถูกผลิตโดยแบคทีเรียฝ่ายค้าน (ฝ่ายย่อยสลาย)
จุดเริ่มต้น

หากใครคิดว่ายาคูลท์มีแค่เมืองไทยละก็ผิดถนัด เพราะยาคูลท์มีสัญชาติญี่ปุ่นเต็มตัวนับว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกโบริก็น่าจะได้ เพราะเมื่อ 70 กว่าปีก่อนหรือปี คศ.1930 ดร.มิโนรุ ชิโรตะ (คศ.1899-1982) จากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มต้นวิจัยพัฒนายาคูลท์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ว่าในช่วงเวลานั้น ชาวญี่ปุ่นประสบกับปัญหาเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากขาดสารอาหาร การสาธารณะสุขและสภาพเศรษกิจ และในระหว่างปี คศ. 1930-1935 ดร.ชิโรตะสามารถจำแนกแยกแบคทีเรียจากลำไส้คนได้ถึง 300 ชนิด

เป้าหมายหลักคือ จำแนกแบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการเดินทางของมันผ่านช่องท้องและน้ำดี ที่มีฤทธิ์เป็นกรดไปสู่ลำไส้เล็กที่ ๆ มันสามารถทำงานได้ ในระบบย่อยแบคทีเรีย แต่ละชนิดถูกทดสอบความทนทานต่อกรดและน้ำดี และแบคทีเรียตัวที่หนังเหนียวที่สุดก็คือ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิ 10 องศา จุลินทรีย์จะหลับ แล้วช่วงที่เราเอาออกมาดื่ม ณ อุณหภูมิห้อง 37-38 องศา มันจะตื่นก็พร้อมจะทำงานให้ร่างกายเราทันที ถ้าตู้เก็บความเย็นไม่พอ หรือวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง จุลินทรีย์อาจมีปริมาณมากกว่าที่ระบุไว้ข้างขวด เพราะมันเติบโตขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แต่ตัวพ่อตัวแม่จะเริ่มอ่อนแอลง เพราะออกลูกออกหลานจนเหนื่อย ฉะนั้นให้รีบๆ กินซะ แต่ถ้าคุณปล่อยให้ยาคูลท์ตากแดด จุลินทรีย์จะตาย ยังกินได้อยู่นะแต่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว


ยาที่มา: blog.fukduk.tv

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝึกสมาธิ สิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในชีวิตการทำงานนั้น เราจึงจำเป็นต้องสร้างสมาธิในการทำงาน เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการทำงานทุกประเภท

ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาก็ต้องมีสมาธิในการเรียน คนขับแท็กซี่ก็ต้องมีสมาธิในการขับรถ หมอก็ต้องมีสมาธิในการตรวจคนไข้ รวมถึงพวกเราชาวออฟฟิศทั้งหลายก็ต้องใช้สมาธิในการทำงานด้วย เพราะสมาธิจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ใครที่รู้ตัวว่า ไม่ค่อยจะมีสมาธิในการทำงานลองมาฝึกสมาธิไปพร้อมๆ กับผมกันดีกว่า

อย่างแรกลองฝึกขั้นง่ายๆ กันก่อน นั่นคือการอ่านหนังสือครับ
หลายคนคงจะงง เพราะตอนนี้คุณกำลังอ่านอยู่ อ่านหนังสือจะฝึกสมาธิได้อย่างไร การอ่านหนังสือที่ผมแนะนำไม่ใช่การอ่านแบบกวาดสายตาผ่านๆ ไปแบบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เป็นการอ่านที่คุณห้ามละสายตาจากตัวอักษรนั้นๆ เลย  เรียกว่าอ่านแบบพยายามหาว่ามันมีตัวไหนที่เขาเขียนผิดหรือเปล่า ค่อยๆ อ่านครับ ไม่ต้องรีบ แรกๆ ลองตั้งเวลาสัก 5 นาทีก่อน ถ้าคุณทำได้โดยที่คุณไม่ละสายตาไปสนใจสิ่งรอบข้าง ครั้งต่อไปคุณก็เพิ่มเวลาเป็น 10 นาที 15 นาที แล้วคุณจะมีสมาธิกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มากขึ้น
ขั้นต่อมา ลองตั้งใจฟังบ้างครับ เพราะหลายๆ คน บางครั้งเจ้านายสั่งอย่าง แต่เรากลับไปทำอีกอย่าง ของแบบนี้มันต้องมีผิดพลาดกันได้บ้าง แต่คุณควรจะแก้ไขโดยฝึกสมาธิในการรับฟังครับ โดยเริ่มจากการฟังเทปบันทึกเสียงหรือคำสอนต่างๆ ที่ไม่ใช่เพลง เพราะถ้าเป็นเพลงคุณอาจจะเพลิดเพลินกันจนไม่ได้จับใจความสำคัญ ฝึกไปเรื่อยๆ เลยครับ จนคุณแทบจะจำทุกคำพูดในเทปนั้นได้คราวนี้จะได้มีสมาธิในการฟัง
อีกขั้นตอนหนึ่ง ลองลงมือจัดเอกสารต่างๆ ของคุณให้เป็นที่เป็นทาง นับเป็นการฝึกสมาธิให้คุณได้ เพราะขณะที่คุณจัดเอกสารอยู่ คุณก็ต้องนึกว่าเอกสารฉบับนี้เราวางไว้ตรงนี้ ฉบับนั้นเราวางไว้ในตู้ อะไรทำนองนี้ เรียกว่าเป็นการย้ำความจำของเราอีกที แถมพอคราวหน้าเรามาหาเอกสารฉบับนั้นๆ จะได้ไม่ต้องรื้อโต๊ะกันให้วุ่นอีกด้วย
ต่อมาลองจัดลำดับความสำคัญของงานดูว่างานไหนสำคัญที่สุด ถ้าคุณยังนึกไม่ออก ลองนึกดูว่างานชิ้นไหนของคุณทำแล้ว คนอื่นๆ สามารถรับงานต่อจากคุณได้ หรือเป็นงานเร่งจริงๆ ถ้าไม่ได้ภายในชั่วโมงนี้หรือวันนี้ คนอื่นจะได้รับความเดือดร้อน นั้นแหละครับ รีบทำไปก่อนเลย คราวนี้คุณก็ไล่งานอื่นๆ ดูว่าต้องอันไหนต่อ เป็นการทวนตัวเองด้วยว่าวันนี้คุณมีงานอะไรต้องทำบ้าง
ข้อสุดท้ายครับ ทัศนคติกับงานที่คุณทำอยู่ ถ้าใครมีทัศนคติไม่ดีกับงานที่ตัวเองทำอยู่ ต่อให้เทพก็ไม่สามารถที่จะมีสมาธิในการทำงานได้ เพราะคุณจะหาแต่ข้ออ้างมาปฏิเสธงานต่างๆ ที่เข้ามา เพราะฉะนั้นคุณควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพื่อการทำงานที่ราบรื่น
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นตัวคุณเอง ที่ต้องฝึกทั้งสมาธิ ฝึกทั้งการควบคุมอารมณ์ของตนเอง เมื่อจิตใจสงบ มีสมาธิสติในการทำงานก็จะตามมา งานของคุณก็จะผิดพลาดน้อยลง



ผู้เขียน : ดร.สมสิทธิ์ มีแสงนิล

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้
แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย 
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
เรียบเรียงโดย Never-Age.com

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!

อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!
หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...
น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น
แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว จากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที
แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย
เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

ตาลีบันบุกสังหาร เจ้าชายแฮรี่ ทหารสังเวย 2 ศพ

(15 ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ากลุ่มตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน ในจังหวัดเฮลมานด์ ทางภาคใต้ของอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นาวิกโยธินสหรัฐ 2 นาย เสียชีวิต
โฆษกกองกำลังสหรัฐในอัฟกานิสถาน เผยว่า สมาชิกกลุ่มตาลีบันพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนไรเฟิล ระเบิด และเครื่องยิงระเบิด บุกเข้าไปในแคมป์ แบสเชิน เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น. ก่อนจะเกิดการยิงปะทะยืดเยื้อ ทหารอังกฤษสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ช่วงเช้าวันนี้ โดยนาวิกโยธินสหรัฐเสียชีวิต 2 นาย ส่วนกลุ่มผู้บุกรุกเสียชีวิตทั้งหมด แต่จำนวนยังไม่แน่ชัด ระหว่าง 15 - 20 ศพ
แคมป์ แบสเชิน ของอังกฤษ ซึ่งอยู่ติดกับ แคมป์ ลีเธอร์เน็ค ของกองทัพสหรัฐ เป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งถูกกองทัพอังกฤษส่งกลับไปปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถานอีกครั้งเป็นเวลา 4 เดือนเมื่อไม่กี่วันก่อน ในฐานะนักบินประจำฝูงบินเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ แต่การบุกโจมตีของนักรบตาลีบันครั้งนี้ เจ้าชายวัย 28 ชันษาไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุ กลุ่มตาลีบันออกประกาศแสดงความรับผิดชอบการบุกโจมตี โดยนายกอรี ยูเซฟ อาห์มาดี โฆษกกลุ่มตาลีบัน เผยทางโทรศัพท์ต่อสำนักข่าวเอพีในวันนี้ ว่า นักรบตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน เพราะเจ้าชายแฮร์รี่อยู่ในนั้น และว่า ยังมีหน่วยกล้าตายของตาลีบันอีกนับพันคน ที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อพระเจ้า.

10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่สุดในโลก ปี 2012

โดยทั่วไปแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนจะแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูงส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา  The Richest People ได้ระบุถึง 10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่่สุดในโลก ปี 2012 (The Most Expensive Universities in the World 2012) ไว้  ไปดูกันสิว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้าง





1. Sarah Lawrence College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เมื่อปี 2010 มหาวิทยาลัยนี้แพงเป็นอันดับ 2 แต่ปีนี้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ $53,150  ซึ่งรวมค่าประกันภัย แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดและค่าท่องเที่ยว






2. George Washington University
ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี  สหรัฐอเมริกา  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ประมาณ $53,000 ซึ่งรวมค่าหนังสือ ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าห้อง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ  มหาวิทยาลัยนี้ถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใจกว้างที่สุดในแง่ของความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักเรียน โดยค่าเฉลี่ยของความช่วยเหลืออยู่ที่ $22,500






3. Columbia University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์คซิตี้ สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยนี้อาจจะไม่แพงเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ  แต่มาตรฐานการครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง  นักศึกษาจ่ายเงินปีละ $51,886 และได้รับความช่วยเหลือโดยเฉลี่ย $30,000






4. St. John’s College
ตั้งอยู่ที่ซานตาเฟ่ สหรัฐอเมริกา  ค่าใช้จ่ายของนักศึกษาอยูที่ปีละ $49,513 รวมค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่ากิน  มหาวิทยาลัยมีแพคเกจความช่วยเหลือเฉลี่ยที่ $26,000 ต่อปี และนักเรียน 65% มีความสุขกับสิทธิพิเศษนี้






5. Vassar College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับชนชั้นสูงซึ่งมีค่าธรรมเนียมรายปี $49,250  ทางมหาวิทยาลัยระบุว่าไม่จำเป็นต้องรวยถึงจะเรียนได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยมีการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและด้านต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่นักศึกษา






6. Bucknell University
มหาวิทยาลัยนี้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี $48,380 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายของค่ากินค่าห้อง แต่ไม่รวมค่าหนังสือ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายส่วนตัว  นักศึกษา 62% ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินและแพคเกจความช่วยเหลือเป็นจำนวน $25,000






7. Kenyon College
ตั้งอยู่ที่โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา  ถ้าพูดถึงการลงทะเบียนค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมแล้ว มหาวิทยาลัยนี้มีค่าเล่าเรียนประมาณ $46,830 แต่ก็ช่วยเหลือนักเรียนให้ได้มากที่สุดตามความเป็นจริง  70% ของนักศึกษาได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน และ 24% ได้รับทุนการศึกษา






8. Wesleyan University
ตั้งอยู่ที่คอนเนคทิคัต สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $38,900 กับค่าที่พักประมาณ $11,000  มีแผนการชำระเงินให้กับนักเรียนโดยมีระยะเวลาชำระ 10 เดือน กับดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์






9. Carnegie Mellon University
ตั้งอยู่ที่เพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนประจำปีอยู่ที่ $40,000  แผนการชำระเงินของที่นี่ช่วยให้นักศึกษาชำระค่าเล่าเรียนมากกว่าระยะเวลาสิบเดือน กับดอกเบี้ยร้อยละศูนย์






10. Colgate University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $39,545  ต้องเข้าพักในมหาวิทยาลัยในปีแรก จึงต้องจ่ายพิเศษอีก $9,625 สำหรับค่ากินนอนและค่าที่พัก  มหาวิทยาลัยนี้มีการระดมทุนและแพคเกจความช่วยเหลือแก่นักศึกษา



ที่มา :  http://www.therichest.org/most-expensive/universities-in-the-world/

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เหล้าผสมกาแฟกลายเป็นยาวิเศษป้องสมองเสียหายเพราะขาดเลือด

ได้ยาวิเศษสามารถช่วยป้องกันสมองไม่ให้เสียหาย หลังจากเส้นเลือดในสมองตีบได้อย่างมาก เป็นยาที่ทำจากกาแฟผสมกับเหล้า มีฤทธิ์เท่ากับซดกาแฟแก่ๆ ผสมเหล้าเข้าไป 2 ถ้วยซ้อน
 
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเท็กซัส ฮิวส์ตัน เปิดเผยว่า ยาขนานใหม่ที่พบ เป็นส่วนผสมของกาแฟกับเอทานอล อันเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยลดความสูญเสีย ของสมองจากการเป็นอัมพาตเนื่องมาจาก เส้นเลือดสมองตีบลงได้อย่างมาก โดยได้ทดลองใช้รักษาฉีดให้กับคนไข้ อัมพาตทั้งชายหญิงที่อยู่ในวัยอายุเฉลี่ย 71 ปี ไปจำนวน 23 ราย
 
ศาสตราจารย์มาร์ติน บราวน์ กล่าวแจ้งว่า ในการทดลองกับหนู โดยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองของมัน ขาดลงแบบเดียวกับเมื่อเกิดเป็นอัมพาตเนื่อง มาจากเส้นเลือดสมองตีบในคน เมื่อให้ยาภายในเวลาเกิดอาการใน 3 ชม. ปรากฏว่ายาช่วยลดความสูญเสียของสมองของมันได้มากถึง 80% และจะได้ทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อจะได้รู้สรรพคุณของมันในการรักษากับคนมากขึ้น "แต่พบแล้วว่า หากให้กาแฟหรือแอลกอฮอล์โดดๆ อย่างเดียว กลับไม่ได้ผลอย่างใด จะต้องผสมกันจึงจะได้ผล ซึ่งก็จะต้องค้นคว้าหาส่วนผสมที่เหมาะสมต่อไป"
 
เขากล่าวต่อไปว่า ยังอาจไม่ทราบสาเหตุว่ามันมีสรรพคุณรักษาขึ้นอย่างไร แต่ตัวแอลกอฮอล์เองก็มี สรรพคุณทางขยายหลอดเลือดอยู่แล้ว และคาเฟอีนก็มีสรรพคุณช่วยให้อาการของไมเกรนทุเลาลงได้ เพราะมันช่วยให้ เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ มันยังเป็นยาที่ปลอดภัย เพราะก็เห็นกันอยู่ เป็นยาที่เกือบจะทุกคนใช้กันอยู่แล้ว