วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้
แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย 
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
เรียบเรียงโดย Never-Age.com

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!

อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!
หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...
น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น
แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว จากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที
แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย
เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

ตาลีบันบุกสังหาร เจ้าชายแฮรี่ ทหารสังเวย 2 ศพ

(15 ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ากลุ่มตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน ในจังหวัดเฮลมานด์ ทางภาคใต้ของอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นาวิกโยธินสหรัฐ 2 นาย เสียชีวิต
โฆษกกองกำลังสหรัฐในอัฟกานิสถาน เผยว่า สมาชิกกลุ่มตาลีบันพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนไรเฟิล ระเบิด และเครื่องยิงระเบิด บุกเข้าไปในแคมป์ แบสเชิน เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น. ก่อนจะเกิดการยิงปะทะยืดเยื้อ ทหารอังกฤษสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ช่วงเช้าวันนี้ โดยนาวิกโยธินสหรัฐเสียชีวิต 2 นาย ส่วนกลุ่มผู้บุกรุกเสียชีวิตทั้งหมด แต่จำนวนยังไม่แน่ชัด ระหว่าง 15 - 20 ศพ
แคมป์ แบสเชิน ของอังกฤษ ซึ่งอยู่ติดกับ แคมป์ ลีเธอร์เน็ค ของกองทัพสหรัฐ เป็นฐานประจำการของเจ้าชายแฮร์รี่ รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งถูกกองทัพอังกฤษส่งกลับไปปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถานอีกครั้งเป็นเวลา 4 เดือนเมื่อไม่กี่วันก่อน ในฐานะนักบินประจำฝูงบินเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ แต่การบุกโจมตีของนักรบตาลีบันครั้งนี้ เจ้าชายวัย 28 ชันษาไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุ กลุ่มตาลีบันออกประกาศแสดงความรับผิดชอบการบุกโจมตี โดยนายกอรี ยูเซฟ อาห์มาดี โฆษกกลุ่มตาลีบัน เผยทางโทรศัพท์ต่อสำนักข่าวเอพีในวันนี้ ว่า นักรบตาลีบันบุกโจมตีแคมป์ แบสเชิน เพราะเจ้าชายแฮร์รี่อยู่ในนั้น และว่า ยังมีหน่วยกล้าตายของตาลีบันอีกนับพันคน ที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อพระเจ้า.

10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่สุดในโลก ปี 2012

โดยทั่วไปแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนจะแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูงส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา  The Richest People ได้ระบุถึง 10 มหาวิทยาลัยที่แพงที่่สุดในโลก ปี 2012 (The Most Expensive Universities in the World 2012) ไว้  ไปดูกันสิว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้าง





1. Sarah Lawrence College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เมื่อปี 2010 มหาวิทยาลัยนี้แพงเป็นอันดับ 2 แต่ปีนี้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ $53,150  ซึ่งรวมค่าประกันภัย แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดและค่าท่องเที่ยว






2. George Washington University
ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี  สหรัฐอเมริกา  ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ประมาณ $53,000 ซึ่งรวมค่าหนังสือ ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าห้อง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ  มหาวิทยาลัยนี้ถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใจกว้างที่สุดในแง่ของความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักเรียน โดยค่าเฉลี่ยของความช่วยเหลืออยู่ที่ $22,500






3. Columbia University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์คซิตี้ สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยนี้อาจจะไม่แพงเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ  แต่มาตรฐานการครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง  นักศึกษาจ่ายเงินปีละ $51,886 และได้รับความช่วยเหลือโดยเฉลี่ย $30,000






4. St. John’s College
ตั้งอยู่ที่ซานตาเฟ่ สหรัฐอเมริกา  ค่าใช้จ่ายของนักศึกษาอยูที่ปีละ $49,513 รวมค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่ากิน  มหาวิทยาลัยมีแพคเกจความช่วยเหลือเฉลี่ยที่ $26,000 ต่อปี และนักเรียน 65% มีความสุขกับสิทธิพิเศษนี้






5. Vassar College
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับชนชั้นสูงซึ่งมีค่าธรรมเนียมรายปี $49,250  ทางมหาวิทยาลัยระบุว่าไม่จำเป็นต้องรวยถึงจะเรียนได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยมีการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและด้านต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่นักศึกษา






6. Bucknell University
มหาวิทยาลัยนี้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี $48,380 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายของค่ากินค่าห้อง แต่ไม่รวมค่าหนังสือ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายส่วนตัว  นักศึกษา 62% ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินและแพคเกจความช่วยเหลือเป็นจำนวน $25,000






7. Kenyon College
ตั้งอยู่ที่โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา  ถ้าพูดถึงการลงทะเบียนค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมแล้ว มหาวิทยาลัยนี้มีค่าเล่าเรียนประมาณ $46,830 แต่ก็ช่วยเหลือนักเรียนให้ได้มากที่สุดตามความเป็นจริง  70% ของนักศึกษาได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน และ 24% ได้รับทุนการศึกษา






8. Wesleyan University
ตั้งอยู่ที่คอนเนคทิคัต สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $38,900 กับค่าที่พักประมาณ $11,000  มีแผนการชำระเงินให้กับนักเรียนโดยมีระยะเวลาชำระ 10 เดือน กับดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์






9. Carnegie Mellon University
ตั้งอยู่ที่เพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา  ค่าเล่าเรียนประจำปีอยู่ที่ $40,000  แผนการชำระเงินของที่นี่ช่วยให้นักศึกษาชำระค่าเล่าเรียนมากกว่าระยะเวลาสิบเดือน กับดอกเบี้ยร้อยละศูนย์






10. Colgate University
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  นักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ $39,545  ต้องเข้าพักในมหาวิทยาลัยในปีแรก จึงต้องจ่ายพิเศษอีก $9,625 สำหรับค่ากินนอนและค่าที่พัก  มหาวิทยาลัยนี้มีการระดมทุนและแพคเกจความช่วยเหลือแก่นักศึกษา



ที่มา :  http://www.therichest.org/most-expensive/universities-in-the-world/

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เหล้าผสมกาแฟกลายเป็นยาวิเศษป้องสมองเสียหายเพราะขาดเลือด

ได้ยาวิเศษสามารถช่วยป้องกันสมองไม่ให้เสียหาย หลังจากเส้นเลือดในสมองตีบได้อย่างมาก เป็นยาที่ทำจากกาแฟผสมกับเหล้า มีฤทธิ์เท่ากับซดกาแฟแก่ๆ ผสมเหล้าเข้าไป 2 ถ้วยซ้อน
 
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเท็กซัส ฮิวส์ตัน เปิดเผยว่า ยาขนานใหม่ที่พบ เป็นส่วนผสมของกาแฟกับเอทานอล อันเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยลดความสูญเสีย ของสมองจากการเป็นอัมพาตเนื่องมาจาก เส้นเลือดสมองตีบลงได้อย่างมาก โดยได้ทดลองใช้รักษาฉีดให้กับคนไข้ อัมพาตทั้งชายหญิงที่อยู่ในวัยอายุเฉลี่ย 71 ปี ไปจำนวน 23 ราย
 
ศาสตราจารย์มาร์ติน บราวน์ กล่าวแจ้งว่า ในการทดลองกับหนู โดยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองของมัน ขาดลงแบบเดียวกับเมื่อเกิดเป็นอัมพาตเนื่อง มาจากเส้นเลือดสมองตีบในคน เมื่อให้ยาภายในเวลาเกิดอาการใน 3 ชม. ปรากฏว่ายาช่วยลดความสูญเสียของสมองของมันได้มากถึง 80% และจะได้ทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อจะได้รู้สรรพคุณของมันในการรักษากับคนมากขึ้น "แต่พบแล้วว่า หากให้กาแฟหรือแอลกอฮอล์โดดๆ อย่างเดียว กลับไม่ได้ผลอย่างใด จะต้องผสมกันจึงจะได้ผล ซึ่งก็จะต้องค้นคว้าหาส่วนผสมที่เหมาะสมต่อไป"
 
เขากล่าวต่อไปว่า ยังอาจไม่ทราบสาเหตุว่ามันมีสรรพคุณรักษาขึ้นอย่างไร แต่ตัวแอลกอฮอล์เองก็มี สรรพคุณทางขยายหลอดเลือดอยู่แล้ว และคาเฟอีนก็มีสรรพคุณช่วยให้อาการของไมเกรนทุเลาลงได้ เพราะมันช่วยให้ เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ มันยังเป็นยาที่ปลอดภัย เพราะก็เห็นกันอยู่ เป็นยาที่เกือบจะทุกคนใช้กันอยู่แล้ว

บัวบก

มารู้จักกับ "บัวบก" สมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณและขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรของความเป็นหนุ่มสาว 
 
บัวบก หลายคนรู้จักดีว่าเป็นสมุนไพรแก้ร้อนใน ช้ำใน แก้กระหายน้ำ แต่บัวบกก็ยังมีอีกหลายมุมนัก วันนี้นำมาเล่าสู่กัน โดยเป็นข้อมูลจากการเสวนาวิชาการเรื่อง “บัวบก สมุนไพรมหัศจรรย์ เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ใครอยากรู้ว่า บัวบก สมุนไพรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ และบางคนก็ปลูกได้ปลูกดีที่สวนหลังบ้าน จะทำอะไรได้อีก ตามมาได้เลย
กระชากวัยด้วยบัวบก
 
ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เภสัชกรเชี่ยวชาญด้านเภสัชกรรมการผลิต โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า มีงานวิจัยระบุว่าบัวบกช่วยบำรุงสมอง ผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งหมอยาไทยนำมาใช้บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงความจำ บำรุงสายตา บำรุงผม บำรุงเอ็น ปัจจุบันครีมบัวบกอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ใช้ในการรักษาแผล ป้องกันการเกิดแผลเป็น บัวบกยังช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิตในระยะแรกได้
 
 
ชนิดของบัวบกที่สรรพคุณดีที่สุด คือ ผักหนอกขม ซึ่งขึ้นตามธรรมชาติ สาวๆ จะต้องชอบเรื่องต่อไปนี้ เพราะผักหนอก หรือบัวบกนี้ ยายหมื่น แม่เฒ่าแห่งเมืองเลย ยืนยันว่าใช้ในการกระชากวัย ทำให้หน้าตาสดใสอย่างวัยรุ่น โดยนำผักหนอกทั้งห้า (ต้น ใบ และราก) มาตากให้แห้ง บดละเอียด ใช้น้ำผึ้งเป็นกระสาย ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าผลมะแว้ง กินเช้าเย็นครั้งละสองเม็ด เพียงอาทิตย์เดียวเห็นผล
 
“ตำราไทย บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย หรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงกำลัง ตำรับที่นิยมจะใช้บัวบกผสมพริกไทยลงไปเพื่อลดความเย็นของบัวบก คือ ใช้บัวบก 2 ส่วน ผสมกับผงพริกไทย 1 ส่วน ละลายน้ำร้อนกินก่อนนอน ครั้งละครึ่งช้อนชา” ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
 
ส่วนการใช้บัวบกในการบำรุง ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ใช้เช่นเดียวกับที่คัมภีร์อายุรเวทอินเดียซึ่งระบุไว้ว่า บัวบกทั้งต้นมีกลิ่นฉุน มีรสขมหวาน ย่อยได้ง่าย มีฤทธิ์เย็น ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ บำรุงเสียง 
ช่วยความจำ ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้อักเสบ 
 
ผิวหนังเป็นด่างขาว โลหิตจาง มีหนองออกจากปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ น้ำดีในร่างกายมากเกินไป ม้ามโต หืด กระหายน้ำ แก้คนเป็นบ้า โรคเกี่ยวกับเลือดและโรคที่มีสมุฏฐานจากเสมหะ อินเดียบางแคว้นกินใบบัวบกกับนมวันละ 1-2 ใบทุกวัน เชื่อว่าจะช่วยจิตใจสดชื่น ความจำดีขึ้น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาทและโลหิต ส่วนการแพทย์จีน ถือว่าบัวบกคือสมุนไพรของความเป็นหนุ่มสาว (Tonic and Rejuvenation)
 

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อนนั้นมีมากมายจริงๆ เลยค่ะ ใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเนี่ยอาจะได้เปรียบจริง ๆ เลยนะ 
 
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน นั้นมีมากมายจริง ๆ เลยค่ะ ใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเนี่ยอาจะได้เปรียบจริง ๆ เลยนะ เพราะคุณรู้หรือไม่ว่าใน สรรพคุณของน้ำมะพร้าวอ่อน นั้นช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้ ฉะนั้นแล้วใครชอบดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนก็เฮกันได้เลยนะเนี่ยว่าคุณจะไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ก่อนใคร ฉะนั้นเมื่อเรารู้ถึง สรรพคุณของน้ำมะพร้าว ที่มากมายขนาดนี้ก็หันมาดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนกันบ้างนะค่ะ และใน ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน ก็ยังช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณให้แลดูสวยเปล่งปลั่งอีกด้วยนะค่ะ นั้นเรามาดู ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน และ สรรพคุณของน้ำมะพร้าวอ่อน กันเลยค่ะ
 
สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน
 
งานวิจัยชั้นเยี่ยมจาก ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนช่วยชะลอเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เนื่องจากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง 
 
ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย 2 กลุ่ม ที่ตัดรังไข่ออกเพื่อเป็นตัวแทนสตรีวัยทองเพราะเชื่อกันว่า ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและปัจจัยด้านอายุที่ผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย (จึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่า)
 
ผลการวิจัยพบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์ มีอาการของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งผู้วิจัยจะพัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นอาหารเสริมและยาเพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ต่อไป นอกจากนี้ยังพบอีกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นและไม่มีแผลเป็นด้วยซึ่งอาจมีการสกัดน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาสมานแผลและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต

ดอกอัญชัน

ดอกอัญชัน ได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรบ้าน ที่คนนิยม เพราะมีประโยชน์ที่หลากหลาย
ในดอกอัญชัน มีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดขนาดเล็ก
ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมและนัยน์ตามากขึ้น

สารแอนโธไซยานิน พบได้ในผลไม้และดอกไม้ที่มีสีน้ำเงิน  สีแดง หรือสีม่วง
มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ โดยที่พืชจะสร้างสารนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันดอก
หรือผลตัวเองจากอันตรายของแสงแดดและโรคภัย

ดอกสกัดสีมาทำสีประกอบอาหารได้ ดอกมีคุณค่าทางสมุนไพรช่วยปลูกผม บำรุงตา
ลดอาการของโรคทางสายตา แก้ตาฟาง ตาแฉะ ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ

รากใช้ถูฟันแก้ปวดฟันได้